หลวงพ่อจวน สัญญโต วัดบ้านแสลงโทน อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์
ตอนที่ 1
พระสุปฏิปันโนผู้ปฏิบัติดี มีวิชาเสกแป้งเสกสีผึ้งนารายณ์แปลง เป็นที่เรืองเลื่องลือ
ท่านผู้อ่านครับด้านเรื่องราวการปฏิบัติของหลวงพ่อท่านที่ผมได้ขึ้นหัวเรื่องเลยว่าหลวงพ่อเป็นพระที่ปฏิบัติดีและผมยังคิดเลยไปอีกว่าในปัจจุบันนี้จะหาพระที่ท่านปฏิบัติดีอย่างหลวงพ่อนี้มีน้อยมากฉะนั้นในด้านปฏิปทาการปฏิบัติบางอย่างของหลวงพ่อท่านในใจท้ายเรื่องผมก็จะได้นำมาเล่าสู่ท่านท่านผู้อ่านให้ทราบต่อไปซึ่งก็ต้องย้ำอีกครั้งหนึ่งว่าด้วยปฏิปทาการปฏิบัติที่สมบูรณ์ด้วยพรหมวิหารธรรมของหลวงพ่อท่าน ท่านผู้อ่านเชื่อไหมครับว่าแม้ในปัจจุบันนี้แป้งนารายณ์แปลงที่หลวงพ่อท่านเสกหรือแม้แต่สีผึ้งมหาเสน่ห์ที่หลวงพ่อผสมสิ่งอาถรรพ์ต่างๆหลวงพ่อท่านก็ยังเมตตาบอกย้ำกับผมว่าไม่ให้เช่าบูชา แต่ใครศรัทธาอยากจะได้ท่านก็บอกว่าจะให้เพราะของไม่ได้ลงทุนลงรอนอะไร
ผู้อ่านที่สนใจทั้งหลายครับสำหรับเฉพาะเรื่องแป้งที่จะมีจดหมายไปขอท่านกรุณาส่งแป้งที่เป็นแป้งเม็ดซื้อตามตลาดนะครับส่งไปถวายท่านมากหรือน้อยก็ได้เท่าที่จะขอไปเพราะเรื่องแป้งผมได้คุยกับท่านและคณะกรรมการว่ามีหลายท่านนะครับไปของท่านแล้วเวลาพอแป้งหมดหลวงพ่อก็ต้องหาปัจจัยซื้อเองทุกครั้ง ท่านผู้อ่านเรื่องราวประวัติของหลวงพ่อท่านหลวง พ่อจวน สัญญโต ที่ผมกำลังเล่าเสนอต่อท่านท่านผู้อ่านอยู่นี้เรื่องราวที่ผมมีโอกาสนำเสนอ ท่านนี้ก็จัดว่าเป็นเรื่องราวที่ผมได้ทราบโดยเพราะบังเอิญก็ได้คือในปีนี้ผมได้มีโอกาสเป็นกรรมการจัดงานปีใหม่เพื่อหารายได้ช่วยการศึกษาเด็กยากจนที่ว่าการอำเภอแห่งหนึ่งซึ่งก่อนจะมีผมและคณะกรรมการอีกหลายท่านต่างก็ได้มีโอกาสได้เดินทางไปติดต่อการละเล่นต่างๆที่มีอยู่ในจังหวัดต่างๆในอันดับแรกผมได้มีโอกาสเดินทางมุ่งสู่จังหวัดนครราชสีมาเพราะที่จังหวัดนครราชสีมานี้ผมหรือแม้ใครๆต่างก็ทราบว่าเป็นจังหวัดที่มีคณะศิลปินต่างๆ เช่นลิเกไทย-ลิเกลาวหมอลำเพลินและเพลงโคราชมีมาก และล้วนมีแต่คณะดังๆด้วยนะที่จังหวัดนี้เมื่อผมมีโอกาสเดินทางไปถึงก็ได้ทราบมาจากคณะกรรมการ ที่มาด้วยกันก่อนว่านะที่จังหวัดนี้มีแม่เพลงโคราชชื่อดังมากอยู่คณะหนึ่งคือแม่เพลงคณะแม่สมคิด ลิเกดังๆหลายคณะเช่นคณะ วรต้อสิมานคร และคณะสมจิตรโชว์เป็นต้นหลายคณะแม้คณะที่ไม่ได้กล่าวชื่อก็ล้วนเป็นศิษย์ที่ใช้แป้งแป้งนารายณ์แปลงของหลวงพ่อจวนโดยเฉพาะคณะวรต้อสิมานครเป็นต้น
คณะวรต้อสิมานครได้มีโอกาสไปแสดงประชันกับคณะลิเกใดๆที่ไม่ใช่ศิษย์หลวงพ่อจวน แม้เงินรางวัลนั้นจะมีผู้วางเดิมพันมากขนาดไหนแต่ที่สุดเมื่อทำการแสดงจบลงแล้วลิเกคณะวรต้อสิมานครก็จะล้มเงินรางวัลไปกินหมดเพราะด้วยความสามารถของผู้แสดงพร้อมผัดหน้าด้วยแป้งเสกของหลวงพ่อจวนท่านด้วยซึ่งในวันนั้นผมกับคณะผู้จัดงานอีกหลายท่านก็ต้องเดินทางไปหารักลิเกที่มีชื่อว่าวรต้อสิมานครนี้แหละก็เปล่านะครับคือไม่ใช่ให้พวกเขาจะเอาผู้แสดงลิเกคณะวรต้อสิมานครไปแสดงแข่งประชันกับลิเกคณะใดหรอกแต่เรื่องหนึ่งที่ผมมีความสนใจมากก็คือทุกคณะรวมทั้งแม่เพลงโคราชแม่สมคิด ที่ผมไปติดต่อไปแสดงนั้นทุกคนมีรูปหลวงพ่อท่านคือหลวงพ่อจวนมีไว้บูชาเหมือนกัน ตอนหลังก็ทราบว่าเขามีของดีและเป็นศิษย์หลวงพ่อกันทั้งนั้นครับ ท่านผู้อ่านและนี่คือเหตุผลที่ผมต้องรีบเดินทางไปกราบนมัสการหลวงพ่อท่านนะที่ว่าที่วัดบ้านแสลงโทนตำบลแสลงโทน อำเภอประโคนชัยจังหวัดบุรีรัมย์ เรื่องราวต่างๆที่เขาเล่าลือว่าท่านมีแป้งเสกนารายณ์แปลงเก่งนัก นำเรื่องราวนั้นมาเสนอให้ท่านผู้อ่านได้ทราบอย่างนี้ซึ่งยิ่งเมื่อผมมีโอกาสไปกราบนมัสการหลวงพ่อท่านอยู่ใกล้ๆและได้เห็นปฏิปทาในการปฏิบัติที่สำรวมอินทรีย์ด้วยท่าทีที่สงบเสงี่ยมของหลวงพ่อท่านด้วย ด้วยแล้วก็ทำให้ผมได้เกิดศรัทธามาก
ยิ่งๆขึ้นยิ่งพอทราบว่าหลวงพ่อท่านเป็นพระที่มีอายุพรรษามากด้วยคือบรรพชามากตั้งแต่เป็นสามเณรผมก็ยิ่งมองเห็นในความบริสุทธิ์ทั้งกายและใจขอพระคุณท่านมากขึ้นยิ่งที่ทุกท่านที่มีบ้านอยู่ใกล้ๆวัดเมื่อผมได้มีโอกาสสนทนาด้วยผมก็ยิ่งทราบถึงปฏิปทาในการปฏิบัติที่มีแต่ความดีของหลวงพ่อมากเพิ่มขึ้นเพราะทุกคนโดยเฉพาะชาวบ้านแสลงโทนเขาต่างพูดต่างเสริมความดีของท่านด้วยการแสดงการพูดออกมาด้วยความศรัทธาในตัวหลวงพ่อ ท่านๆผู้อ่านครับ เรื่องนี้ก็จัดเป็นหลักเรื่องของประชาธิปไตยอย่างหนึ่งของคนไทยเราที่เลือกนับถือคนในศาสนานานๆ เพราะไม่ว่าพระหรือฆราวาสที่ปฏิบัติ จะให้ตนของตนเป็นที่พึ่งของชาวบ้านถ้าสมมุติพระหรือฆราวาสที่เป็นหมอแผนโบราณบ้างในละแวกบ้านอันนั้นถ้ายังเป็นผู้ที่ประพฤติไม่ดีอยู่หรือเป็นหมอกลางบ้านหมอโบราณก็ยังไม่มีความสามารถจริงอยู่ส่วนมากชาวบ้านที่อยู่ใกล้ๆบุคคลผู้นั้นความประพฤติชั่วดีพวกชาวบ้านเขาก็ทราบดีซึ่งท่านผู้อ่านจะเห็นว่าแม้เรื่องราวในเชิงสารคดีพูดถึงพระที่ปฏิบัติดีต่างๆของผมผมจะไม่ค่อยกล่าวเลยว่าพระคุณท่านนั้นท่านดีเด่น แต่ดังไกลทำนองนี้หมดสมัยแล้วครับของ ของดีคนเด่นตามทัศนะความเห็นของผมต้องดีต้องเด่นในถิ่นใกล้ๆเสียก่อนซึ่งเปรียบเหมือนเป็นการเป็นผู้นำและครอบครัวของตนเองคือ ดีในเรือนที่ตนอยู่เสียก่อนถ้าท่านผู้อ่านครับแม้ในปัจจุบันผมเองจะไม่ใช่คนยังหนุ่มเพราะ 40 กว่าแล้วแต่ใจของผมก็ยังคิดเข้าข้างตนว่าตนของตนเองยังไม่แก่และเมื่อได้มีโอกาสไปกราบนมัสการหลวงพ่อท่านนะที่วัดขอสีผึ้งพร้อมแป้งนารายณ์แปลงของหลวงพ่อ ท่านมาด้วยก่อนจะสืบ และเขียนประวัติต่างๆของหลวงพ่อท่านให้ผู้อ่านได้ทราบ และท่านๆผู้อ่านเชื่อไหมสิ่งที่ผมไม่เคยคาดคิดก็ได้เกิดขึ้น กล่าวคือในธุรกิจต่างๆที่ผมต้องทำการติดต่อประสานอยู่โดยเฉพาะธุรกิจดังนั้นต้องติดต่อกับสุภาพสตรีที่เป็นเพศที่ใจน้อยง่ายด้วยแต่เมื่อผมลองผัดหน้านิด ด้วยแป้งนารายณ์แปลงทาสีผึ้งหน่อยของหลวงพ่อท่านในการติดต่อการดำเนินงานต่างๆก็เกิดเป็นผลสำเร็จขึ้นโดยไม่เป็นไปได้อย่างน่าอัศจรรย์ซึ่งทั้งนี้ไม่ใช่ผมจะกล่าวเพื่อเทิดทูนหลวงพ่อท่านโดยเอาตัวผมที่ไม่ประสบมาจริงๆว่าประสบมานะครับ นี่เป็นเรื่องจริงทั้งนั้น
ประวัติของหลวงพ่อ
ท่านเกิดในปีชวด ตรงกับ วันอังคาร เดือน 3 ปีพุทธศักราช 2479 ณ ุที่หมู่บ้านแสลงโทนอำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ มีโยมบิดาชื่อกุล โยมมารดาชื่อเมา กงประโคนหลวงพ่อมีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 6 คน หลวงพ่อเป็นคนที่ 4 โดยท่านประกอบอาชีพเป็นชาวนาตามเยี่ยงอย่างโยมบิดาโยมมารดาทำมาตั้งแต่อายุยังน้อยจนอายุท่านย่างเข้า 18 ปี หลวงพ่อก็ได้เริ่ม สนใจในธรรมะขอบวชเป็นเณร จนเมื่ออายุได้ 20 ปี ท่านได้อุปสมบทในพระพุทธศาสนาด้วยความศรัทธาการอุปสมบทครั้งนี้หลวงพ่อก็มีท่านพระอธิการสงวน เป็นพระอุปัชฌาย์ท่านพระอธิการสุรินทร์ วัดเมืองดู่ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และท่านพระอธิการแสร์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ โดยได้นามตามที่ปรากฏว่าสัญญาโตภิกขุ
เมื่ออุปสมบทแล้วหลวงพ่อก็อยู่จำพรรษาที่วัดบ้านเกิดคือวัดหมู่บ้านแสลงโทน หลวงพ่อก็อยู่จำพรรษาได้เพียงปีเดียวเพราะในปีนั้นเองหลวงพ่อท่านก็เกิดอาการอาพาธขึ้นคือท่านมีอาการเกิดโรคที่ แปลกซึ่งโรคที่แปลกดังกล่าวก็คือ หลวงพ่อมีอาการปวดเจ็บที่ภายในท้องโดยที่หมอต่างๆแม้ในโรงพยาบาลที่กรุงเทพคือโรงพยาบาลสงฆ์ก็ไม่สามารถจะหาสาเหตุพบเมื่อเกิดอาการเป็นมากๆและบ่อยขึ้นท่านผู้เป็นโยมบิดาของท่านจึงนำหลวงพ่อกลับไปยังจังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อจะเสาะหาว่ามีหมอที่จะรักษาทางด้านไสยศาสตร์ที่ไหนเก่งบ้าง เพราะญาติญาติของท่านก็คิดว่าท่านถูกคุณไสยแน่ในตอนนั้นก็ได้ทราบว่านะที่สำนัก วัดสุภาลัยมีเกจิอาจารย์ที่รักษาด้านไสยเวทเก่งยิ่ง คือ หลวงพ่อแก้ว โกวิโท หรือพระครูรัตนสุนทร ซึ่งวัดของท่านอยู่ในจังหวัดสุรินทร์ และเมื่อหลวงพ่อได้มีโอกาสได้ไปรักษาตัวอยู่กับหลวงพ่อแก้วซึ่งหลวงพ่อแก้วได้ทำวิธีรักษาอยู่ไม่กี่วันอาการที่ว่าปวดท้องมากปวดเป็นบางเวลาก็เกิดหายโดยไม่กลับมาเป็นอีกนับเป็นเรื่องที่อัศจรรย์
ด้วยประสบการณ์ของท่านอย่างนี้นับตั้งแต่วันนั้นหลวงพ่อท่านก็ฝากตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อแก้วเลยโดยอยู่ปฏิบัติรับใช้หลวงพ่อแก้วเพื่อศึกษาเล่าเรียนด้านวิชาเวทมนตร์คาถาอาคมต่างๆซึ่งท่านก็อยู่ที่วัดหลวงพ่อแก้วโดยอยู่เป็นศิษย์รับใช้ใกล้ชิดหลวงพ่อแก้วเป็นเวลาถึง 13 ปี หรือ13 พรรษาและเมื่อรู้ว่าท่านได้เรียนมนต์วิชาต่างๆจากหลวงพ่อแก้วหมดแล้วในพรรษาที่ 13 หลวงพ่อก็ได้ไปจำพรรษาอยู่ ณ ที่สำนักปฏิบัติธรรมของท่านพระครูนนทญาณวิสุทธิ์ (อาจารย์สุคม ณ วัดโคกบัวราย) จังหวัดสุรินทร์เพื่อปฏิบัติศึกษาด้านพระกรรมฐานต่อไปหลวงพ่ออยู่ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ณ ที่สำนักโคกบัวรายนี้เป็นระยะเวลา 7 ปี และต่อมาจากนั้นท่านก็นำเอาวิชาปฏิบัติทางจิตคือ(สมาธิกรรมฐาน)ที่ปรารถนาแต่ความสงบสันโดษโดยท่องเที่ยวธุดงค์เรื่อยไปจนในปี พ.ศ. 2520 เมื่อหลวงพ่อมีโอกาสธุดงค์มาเยี่ยมบ้านเกิดและก็พอดีที่วัดบ้านเกิดของท่านคือ(วัดบ้านแสลงโทน)กำลังจะกลายเป็นวัดที่ร้างเพราะขาดพระอยู่ช่วยพัฒนาหลวงพ่อจึงถูกนิมนต์จากชาวบ้านให้อยู่จำพรรษา
อ้างอิง : นิตยสารพระเครื่องนะโม ปี 2531
เรียบเรียงโดย : ทำนอง ตะมาริด
คัดลอก : เพจพระเครื่องเมืองสุรินทร์อิสานใต้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น