วันศุกร์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2560

พระครูประสาทสังวรคุณ (หลวงพ่ออินทร์ อินทโชโต)

พระครูประสาทสังวรคุณ (หลวงพ่ออินทร์ อินทโชโต)

ผู้ที่ได้ศึกษาในสมถะวิปัสสนากรรมฐาน จนมีความเชี่ยวชาญก็สามารถนําวิชาที่ศึกษามานี้ใช้ประโยชน์เพื่อเกื้อกูลตนเองและคนอื่นได้ อย่างน้อยก็รู้อดีต อนาคตได้เป็นอย่างดีและยิ่งไปกว่านั้นยังทราบด้วยว่าที่ดินตรงไหนได้ฝังของมีค่าไว้และที่สำคัญที่สุดคือท่านมักจะรู้ วันตายของท่านด้วย พระครูประศาสน์สังวรกิจหรือหลวงพ่ออินทร์ อินทโชโต แห่งวัดโบสถ์ ตำบลบ้านเรือก อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี ท่านก็เป็นพระอาจารย์ที่เชี่ยวชาญในด้านสมถะวิปัสสนากรรมฐานดีรูปหนึ่ง ตอนที่ท่านจะมรณภาพท่านก็รู้ตัวของท่านดีจึงได้เตรียมการไว้พร้อมทุกประการคือได้ ไปปลูกกุฏิวิปัสสนากรรมฐานในป่าช้า ให้ช่างต่อโลงไว้แล้วสร้างเจดีย์เพื่อเป็นที่บรรจุอัฐิของท่านและไม่นานท่านก็มรณภาพ ตามความเป็นจริงซึ่งก็เป็นเรื่องที่ศิษย์ยานุศิษย์และท่านที่เคารพนับถือยังกล่าวขวัญถึงทุกวันนี้

ประวัติพอสังเขป

พระครูประสาทสังวรคุณ เดิมชื่อว่า อินทร์ เมื่ออุปสมบทแล้วได้นามฉายาว่า อินทโชโต เกิดเมื่อวันเสาร์ เดือนยี่ ปีมะแม พุทธศักราช 2438 ณบ้านเตาเหล็ก หมู่ 4 ตำบลบ้านเรือก อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี เป็นบุตรของนายแม้น นางศรี มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 4 คน หลวงพ่ออินทร์เป็นบุตรคนสุดท้อง ตามประวัติกล่าวว่าท่านอุปสมบทที่วัดโบสถ์ ตำบลบ้านเกิด เมื่ออุปสมบทแล้วไม่นานชาวบ้านหนองหญ้าปล้อง ได้มานิมนต์ให้ท่านใดเป็นเจ้าอาวาสวัดหนองหญ้าปล้อง ต่อมาวัดโบสถ์ไม่มีเจ้าอาวาสปกครอง เพราะหลวงพ่อหรุ่นเจ้าอาวาสในขณะนั้นได้ลาสิกขาบทเสีย ขุนเลือก ซึ่งเป็นกำนันในสมัยนั้นจึงได้อารธนาหลวงพ่ออินทร์ ให้กลับมาเป็นเจ้าอาวาสที่วัดโบสถ์ ท่านก็ได้กลับมาตามความประสงค์ของชาวบ้านเมื่อท่านได้มาเป็นเจ้าอาวาสวัดโบสถ์แล้วท่านก็ทำการปรับปรุงเสนาสนะของวัดขึ้นใหม่เป็นต้นว่าสร้างถนนซอยเข้าวัด สร้างศาลาใหญ่กลางกุฏิและได้บูรณะปฏิสังขรณ์ถาวรวัตถุคนอื่นที่ชำรุดทรุดโทรมให้กลับมีสภาพดีขึ้น เป็นที่เจริญตาแก่ผู้ที่ผ่านไปมาจนเป็นที่รู้จักกว้างขวางของประชาชนทั่วไป นอกจากบูรณปฏิสังขรณ์เสนาสนะต่างๆแล้ว ท่านก็ยังเป็นผู้ที่คอยช่วยเหลือ ความทุกข์ร้อนของประชาชนที่ได้มุ่งหน้าไปหาท่านด้วยเรื่องร้อยแปดพันเก้า ประการท่านก็ช่วยเหลือตามความสามารถของท่านเฉพาะวันหนึ่งๆที่ประชาชนไปให้ท่านรดน้ำมนต์และสะเดาะเคราะห์ มีเป็นจำนวน 100 คนแต่ท่านก็ไม่เคยบ่นหรือรู้สึกเหน็ดเหนื่อยในการช่วยเหลือแม้แต่น้อย เพราะความดีของท่านที่เพียบพร้อมไปด้วยเมตตา ชื่อเสียงของท่านจะได้เลื่องลือไปไกล ตอนมาจึงได้รับพระราชทาน สมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรที่ พระครูประสาทสังวรคุณ หลวงพ่ออินทร์ได้เคยออกธุดงค์ หลายครั้งเพื่อหาความวิเวกในป่าเพื่อการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานบางครั้งปรากฏว่าทาานต้องผจญกับสัตว์ป่านานานาชนิดและสัตว์เหล่านั้นไม่อาจจะสามารถทำอันตรายแก่ท่านได้ทั้งนี้เพราะท่านมีจิตที่ฝึกไว้แล้ว เป็นอย่างดีไม่มีความสะทกสะท้านในอันตรายที่จะบังเกิดขึ้น ในที่สุดสัตว์ต่างๆก็ล่าถอยไปเองจึงนับได้ว่าท่านเป็นผู้มีวิชา ไสยศาสตร์แก่กล้ารูปหนึ่งในอดีต สาธุชนที่เลื่อมใสศรัทธาในหลวงพ่ออิน อย่างมาก คือชาวบุคคโล  กรุงเทพมหานคร ปรากฏว่าได้ไปนมัสการท่านอยู่เป็นประจำ บางครั้งก็ได้จัดผ้าป่าหรือกฐินไปทอดและได้เงินเป็นจำนวนมากซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นพ่อค้าคนจีนและปรากฏว่าทุกคนได้รับแจกของดีจากหลวงพ่อเป็นกรณีพิเศษแม่ว่าพระอินทร์ ่จะมรณะภาพไปแล้วแต่ก็ยังมีคนไปเคารพรูปของท่านที่วัดมีแต่ขาด หลวงพ่ออินทร์ เป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีมหาชนรู้จักอย่างกว้างขวางและในขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ก็มีประชาชนไปมาหาสู่มิได้ขาด  ผู้ที่ไปมาหาท่านถึงได้ขอร้องให้ท่านสร้างพระเครื่องของขลังขึ้นเพื่อจะได้นำไปเคารพบูชาแทนตัวท่าน หลวงพ่ออินทร์จึงได้สร้างเครื่องรางของขลังขึ้นตามคำเรียกร้องของคนเหล่านั้นพระเครื่องรางของขลังที่ท่านได้สร้างในโอกาสต่สงๆ มี พระผง พระกลีบบัว ตะกรุด ผ้ายันต์ และเหรียญ ของดีเหล่านี้ท่านได้เป็นผู้ปลุกเสกเอง ปรากฏว่าได้มีภินิหารเกิดขึ้นแก่ผู้ที่นำไปใช้หลายราย จึงทำให้ชื่อเสียงของหลวงพ่ออินท์ ดังขึ้นอีกมากนอกเหนือจากน้ำมนต์อันศักดิ์สิทธิ์แล้ว

ในขณะนี้ท่านได้ป่วยเป็นครั้งที่สองท่านได้ไปสร้างกุฏิวิปัสสนากรรมฐาน ในป่าช้าเพื่อจะได้ทำสมาธิได้เต็มที่พร้อมกันนั้น เหมือนกับว่าท่านรู้ว่าใกล้จะมรณะภาพแล้ว ท่านจึงได้สั่งให้ช่างต่อโลง ขึ้นและให้คนไปหาฟืนมาไว้และสร้างเจดีย์เพื่อบรรจุอัฐิท่าน ได้เตรียมไว้พร้อมทุกอย่างต่อมาไม่มานท่านก็มรณภาพ เมื่อพศ 2513 สิริอายุ 74 ปีเศษ ปัจจุบันจึงเหลืออยู่แต่เกียรติคุณของท่านเท่านั้นให้อนุชนรุ่นหลังได้ศึกษาว่าท่านเป็นพระวิปัสสนากรรมฐาน ที่รู้กาลล่วงหน้า  

อ้างอิง จากหนังสืออภินิหารพระเครื่อง ปี 2517

พระสิทธิสารโสภณ ( สงวน โฆสโก ) วัดอาวุธวิกสิตาราม



พระสิทธิสารโสภณ ( สงวน โฆสโก )

          พระสิทธิสารโสภณเป็นพระอาจารย์วิปัสสนากรรมฐาน ที่มีชื่อเสียงเรียบๆ เป็นที่รู้เฉพาะบรรดาศิษยานุศิษย์ และท่านที่เคารพนับถือเท่านั้นคนภายนอกยังไม่รู้จักกท่านเท่าที่ควรว่าท่าน มีคุณวุฒิในทางไหน ต่อมาเมื่อเร็วๆนี้ได้มีศิษย์ของท่าน จำนวนหนึ่งได้ร่วมกันสร้าง เหรียญรูปเหมือนของท่านขึ้น และปรากฏว่า เหรียญรูปเหมือนนี้ได้นำไปมอบให้ท่าน ปลุกเสกเดี่ยว เพื่อนำเงินไปจัดสร้างพระอุโบสถที่ยังค้างอยู่ ปรากฏว่าได้เกิดอภินิหารขึ้น ประชาชนจึงค่อยรู้จักท่านมาตามลำดับ พระสิทธิสารโสภณ วัดอาวุธวิกสิตาราม บางพลัดนอก แขวงบางพลัด เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร เดิมชื่อ สงวน สีตลายัน เกิดที่ตำบลบ้านแหลม หรือคลองพระอุดม 2 ใกล้กับวัดสะพานสูงปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี เป็นบุตรของนายเย็น นางเครื่อง สีตลายัน เมื่ออายุ 8 ขวบได้ศึกษาอักษรสมัยมูลบท บรรพกิจ จบหลักสูตรสมัยนั้นอายุ 12 ปี พระครูโสภณศาสนกิจ(กลิ่น) เจ้าอาวาสวัดสะพานสูงจึงได้ส่งไปอยู่กับท่านพระมหายา จะได้บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดจักรวรรดิราชาวาส(สามปลื้ม) ได้ศึกษามูลกัจจายน์ บาลีพอสมควร และได้ลาสิกขาบทไประยะหนึ่ง ต่อมาเมื่ออายุ 14 ปีได้ไปอยู่ที่วัดราชาธิวาส สามเสน กรุงเทพ กับท่านเจ้าคุณพระอริยกวี (เซ่ง)/ ได้รับบรรพชาเป็นสามเณร เมื่ออายุ 16 ปี โดยมีพระอธิการท่วม วัดบางขวาง นนทบุรี เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้ศึกษานักธรรมและบาลี ณ วัดราชาธิวาส ต่อมาได้ติดตามพระครูพุทธมนต์ ปรีชา  (เทศน์ นิเทสโก) วัดเกาะ
   เมื่ออายุได้ 20 ปี ได้ผสมบทเป็นภิกษุ ณ พัทธสีมาวัดสัมพันธวงศ์ โดยมีสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ  ญาณวรเถระ)  วัดเทพศิรินทราวาสเป็นพระอุปัชฌาย์ เมื่อวันที่ 24 มิถุนายนพ. ศ. 2462  ต่อมาได้ย้ายมาเป็นเจ้าอาวาสวัดอาวุธวิกสิตาราม เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน พ. ศ. 2483  จนถึงปัจจุบันนี้
วัดอาวุธวิกสิตาราม ไม่เคยมีเจ้าอาวาสเป็นพระราชาคณะ ท่านเจ้าคุณพระสิทธิสารโสภณ ถือเป็นเจ้าอาวาสรูปแรก ที่เป็นพระราชาคณะและเป็นเจ้าอาวาสรูปแรกที่สร้างความเจริญให้เกิดขึ้นอย่างในวันนี้ เพราะในสมัยที่ท่านมาเป็นเจ้าอาวาส  วัดนี้อยู่ในสภาพที่สุดโทรมอย่างหนัก ท่านจึงต้องมาทำการบูรณะ และก่อสร้างใหม่ทั้งหมดเหมือนกับมาสร้างวัดขึ้นใหม่ตามที่ได้เห็นอยู่ในขณะนี้
สร้างพระเครื่องเป็นครั้งแรก
คณะศิษย์ของท่านส่วนหนึ่งได้พยายามขออนุญาตต่อท่านหลายครั้ง และอีกหลายปีเพื่อสร้างพระเครื่องที่เกี่ยวกับตัวท่านไว้สักการบูชาแต่ท่านก็ไม่ยอมอนุญาตและในปีนี้ พ.ศ. 2516  คณะศิษย์ซึ่งมีร้าน ปิติโฟโต้ศรีย่าน เป็นหัวหน้าได้ขออนุญาตสร้างพระเครื่องขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เมื่อวันเสาร์ 5  ท่านได้ใช้สมาธิอธิษฐานต่อหน้าคณะศิษย์ แล้วเกิดอภินิหารขึ้นคือ จิ้งจกได้ร่วงตกลงมาต่อหน้าในระหว่างที่ท่านทำสมาธิจิ้งจกนั้นได้แอ่นตัวขึ้นแล้ว ได้วิ่งไปที่หน้าพระประธานของ
ท่านจึงได้บอกกับศิษย์ว่า จัดสร้างพระเครื่องได้ เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคมพ. ศ. 2516  เป็นวันคล้ายวันเกิดของท่านคณะศิษย์ได้นำโลหะและผงพระต่างๆของท่านที่ได้สะสมไว้เป็นเวลานานมาผสมหลอมโลหะเพื่อนำไปจัดสร้างทำเป็นรูปเหมือนของท่านวันหลอมโลหะฝนตั้งเค้าว่าจะตกแต่ท่านได้บอกกับศิษย์ว่าไม่เป็นไรพิธีเราผ่านไปแล้วจึงจะตก  แล้วก็เป็นความจริง ตามที่ท่านว่าคือ พิธีเสร็จเรียบร้อยแล้ว ฝน  ถึงได้ตกลงมา พระเครื่องที่ได้สร้างขึ้นในครั้งนี้ มี รูปเหมือนขนาดใหญ่-เล็ก ชนิดทองคำ - เงิน -นวโลหะ ผงและเหรียญรูปเหรียญ มีชนิดทองคำ-เงินเนื้อกลับ - ทองแดงปัดเงา รูปเหมือนด้านหน้าเป็นรูปของท่านเจ้าคุณพระสิทธิสารโสภณ นั่งอยู่กลางรูปพัดยศ ยอดพัดยศมีรูปใบโพธิ์ ใต้ฐานมีอักขระ  
ส.โฆสโก ด้านหลังข้างบนเป็นยันต์น้ำเต้าทอง ของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวรเถระ) วัดเทพศิรินทราวาสและมีอักษร อว. เป็นชื่อย่อของวัด นอกจากนั้นยังมีตา วัดมงกุฎครอบดาบไขว้ มีเลข 5 อยู่กลางหมายถึงรัชกาลที่ 5  พระองค์ได้พระราชทานชื่อวัดนี้ และเลข 75 หมายถึงอายุของท่าน ท่านได้ปลุกเสกพระเครื่องตลอดไตรมาสเพียงองค์เดียว ขณะนี้พระเครื่องที่ได้สร้างขึ้นได้แจกจ่ายให้แก่ผู้ที่สนใจเพื่อจะนำไปสักการะบูชาแล้วทั้งนี้เพื่อจะนำรายได้อันจะเกิดขึ้นนี้ไปสมทบในการสร้างอุโบสถที่กำลังสร้างค้างอยู่ให้สำเร็จลุล่วงต่อไปท่านที่ประสงค์จะได้ไว้บูชาติดต่อได้ที่วัดอาวุธ
อภินิหารพระเครื่องรูปเหมือนและเหรียญ




เมื่อวันเสาร์ ๕ ที่แล้วท่านได้ลงอักขระเสร็จแล้วท่านก็ได้ร่วมปลุกเสกอธิษฐานต่อหน้าคณะศิษย์ทุกคนที่นั่งอยู่ณ ที่นั้นก็ได้เห็นภาพของท่านเสมือนลอยตัว หรือเรียกว่าปลุกขึ้นซึ่งเป็นปรากฏการณ์มหัศจรรย์ ท่านได้ทำพิธีปลุกเสกพระเครื่องตลอดไตรมาสและได้จัดพิธีใหญ่เมื่อวันที่ 8 ตุลาคมพ. ศ. 2516 ในอุโบสถหลังใหม่โดยอาราธนาพระเถระมาเจริญพระพุทธมนต์ 9 รูป พระสวดพุทธาภิเษกจากวัดสุทัศน์และวัดระฆังท่านได้ตั้งโต๊ะปลุกเสกเดี่ยวตลอดเวลาโดยไม่เปลี่ยนอิริยาบถ ในขณะที่ท่านเริ่มทำพิธีนั้นฝนทำท่าว่าจะตกเมื่อได้ทำพิธีเสร็จแล้วท้องฟ้าก็สว่างฝนได้ไปตกยังที่อื่นรอบๆบริเวณวัด
เมื่อเสร็จการทำพิธีพุทธาภิเษกแล้ว นายชูเกียรติ ศรีบุญมา (อ๊อด) บ้านอยู่ซอยวัดอาวุธได้นำด้ายสายสินและเทียนชัย ผูกคอเดินกลับบ้าน ได้พบกับคู่อริ ้ที่หน้าร้านทองปากทางเข้าวัดคู่อริได้ใช้อาวุธปืนยิง 3 นัด แต่กระสุนไม่ออกจึงได้หันปากกระบอกปืนขึ้นฟ้าเพื่อยิงขู่ ปรากฏว่ากระสุนออกจึงได้วิ่งไล่คู่อริหลบหนี ไปและตัวเองได้ย้อนกลับมาที่วัดบอกคนอื่นปรากฏว่าน้ำมนต์และด้ายสายสิญจน์ในพิธี ตั้งถูกยื้อแย่งกันไปจนหมด พระเครื่องต่างๆบางอย่างก็ได้หมดไปในวันทำพิธีและสร้างขึ้นมาจำนวนจำกัดทั่งนี้เพื่อต้องการหาเงินไปสมทบทุนในการสร้างอุโบสถให้สำเร็จเรียบร้อยตามที่ได้กล่าวมาแล้ว
#อ้างอิง จากหนังสืออภินิหารพระเครื่อง ปี 2517
#ขออนุญาตยืมรูปภาพจากอินเตอร์เน็ตมาเป็นภาพประกอบ

พระครูวิทยานุโยค (พึ่ง)  วัดรางบัว เขตภาษีเจริญ กรุงเทพ

พระครูวิทยานุโยค (พึ่ง)  วัดรางบัว เขตภาษีเจริญ กรุงเทพ

หลวงพ่อผู้มีอภินิหารปรากฏแก่สายตามาแล้ว แต่ท่านไม่มีชื่อเสียงทางด้านเป็นพระเกจิอาจารย์ประชาชนส่วนใหญ่ที่นับถือท่านก็เพราะความจริงที่ท่านมีอยู่คือเป็นพระที่พูดจริงทำจริงแม้แต่นักเลงก็เกรงกลัวท่าน ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่พระลูกวัดได้ใช้ปืนยิงแต่กระสุนปืนไม่ออก เหรียญที่ท่านได้สร้างขึ้นมีนายตำรวจนำไปทดลองยิงก็ยิงไม่ออก เช่นเดียวกันที่ท่านมีชื่อเสียงขึ้นมาเพราะอภินิหารที่มีอยู่ในตัวท่าน พระครูวิทยานุโยค(ุพึ่ง) อดีตเจ้าอาวาสวัดรางบัว เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร ท่านเกิดเมื่อวันที่ 1 ธันวาคมพ. ศ. 2408  ณ บ้านแขวงบางระมาด เขตตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร เป็นบุตรของนายชม  นางส้มแป้น มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 7 คน พี่ชายชื่อนิ่มบวชเป็นพระเจ้าอาวาสวัดโพธิ์ส้ม เมื่ออายุพอสมควรที่จะศึกษาเล่าเรียนท่านได้ผู้ปกครอง ก็ได้นำท่านไปฝากกับพระอธิการยัง  เจ้าอาวาสวัดรางบัวสมัยก่อนไม่มีโรงเรียนต้องอาศัยวัดเรียน  พระอาจารย์เจ้าอาวาสจึงได้สอนไปตามความรู้ที่มีอยู่ เมื่อมีความรู้พอสมควรแล้วจึงได้กลับไปอยู่บ้านเมื่ออายุครบอุปสมบทก็ได้อุปสมบทณพัทธสีมา วัดจำปา ุตำบลบ้านเกิด โดยมี

เจ้าอธิการเผือก เป็นพระอปัชฌาย์

พระอธิการยัง เป็นพระกรรมวาจาจารย์

พระอธิการทัด เป็นพระอนุสาวนาจารย์ เมื่ออุปสมบทแล้วก็ได้อยู่กับพระอธิการยังณ วัดรางบัว เมื่อปี พ. ศ. 2429 ท่านเป็นผู้ที่มุ่งมั่นอยู่ในทางธรรมปฏิบัติและเพรียบพร้อมไปด้วย ศีลาธิคุณ  เต็มอยู่ด้วยพรหมวิหารธรรม ต่อมาจึงได้รับเลือกให้เป็นผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาส ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2455 ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัดรางบัวเมื่อได้เป็นเจ้าอาวาสแล้วท่านก็ได้บริหารงานจนวันนี้มีความเจริญขึ้นในอบรมสั่งสอนศิษย์และการศึกษาเป็นอย่างดีและทรงเข้าสอบสนามหลวงและสอบได้เป็นประจำตลอดมาไทยเมื่อปี พ.ศ. 2469 ท่านเจ้าคุณพระธรรมปิฎก วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ไเ้เห็นถึงคุณงามความดีของท่านจึงได้ตั้งให้เป็นพระครูใบฎีกาฐานานุกรมของท่าน ใน พ.ศ. 2479 ได้รับสมณศักดิ์เป็นพระครูประทวน ผู้อุปการะโรงเรียนวันที่ 1 มีนาคม 2482  ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรที่ พระครูวิทยานุโยค ต่อมาในวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2483  ท่านก็ได้มรณภาพ ด้วยอายุ 76 ปีพรรษา 54  พระราชทานเพลิงเมื่อวันเสาร์ที่ 15  มีนาคม พ. ศ. 2484  ท่านพระครูวิทยานุโยค(ผึ่ง) เป็นพระผู้น้อยถามคำตอบคำเป็นผู้เสียสละไม่ยินดีในลาภยศและไม่รู้จักคำว่าหิวเป็นตน้ว่าข้าวฉันก็ได้ไม่ฉันก็ได้โดยไม่รู้ว่าความหิวนั้นเป็นอย่างไรเวลาบ่ายโมงทุกวันถ้าไม่ติดนิมนต์ที่ใดท่านจะลงไปดายหญ้าที่ลานวัดเป็นประจำทุกวัน เมื่อเวลาเย็นพระตีระฆังสวดมนต์เย็นท่านก็จะขึ้นมาสวดมนต์นับว่าเป็นกิจวัตรประจำวันที่ท่านได้ปฏิบัติติดต่อมาจนมรณภาพท่านเป็นคนที่พูดจริงทำจริงเมื่อพูดไปแล้วไม่คืนคำแม้ว่าคนนั้นจะใหญ่โตขนาดไหนแม้แต่นักเลงในย่านนั้นก็กลัวเกรงท่านก็เพราะเป็นคนจริงดังกล่าวแล้ว ท่านเคยสร้างเหรียญเป็นครั้งแรกเมื่อปีพ. ศ. 2482 เหรียญที่ท่านสร้างขึ้นมีลักษณะคล้ายเหรียญวัดหนัง มียันต์สี่ข้างหลังสร้างขึ้นประมาณ 1,000 เหรียญท่านเสกรูปเดียว โดยได้นำมาแจกในงานทำบุญเนื่องในงานฌาปนกิจศพ โยมแม่ของท่านและแจกในงานฉลองสมณศักดิ์ที่ได้รับพระราชทานเป็นพระครูประโชติ เหรียญที่ท่านจะสร้างขึ้นในครั้งนี้หายากและราคาเช่าสูงก็ได้ปรากฏอภินิหารแก่ผู้ที่นำไปใช้ พระครูศิลป์เจ้าอาวาสองค์ 2 ได้สร้างเหรียญขึ้นอีกรุ่นหนึ่ง เหมือนกันเพื่อนำเงินไปสร้างโบสถ์และรูปหล่อ เท่าตัวจริงของท่านขึ้นซึ่งประดิษฐานอยู่หน้าศาลาการเปรียญปัจจุบัน

อภินิหารวัตถุมงคลของท่าน

ในขณะที่ท่านพระครูวิทยานุโยคยังมีชีวิตอยู่ท่านได้ไล่พระสังข์ ออกจากวัด ด้วยความผิดบางประการพระสังข์ลูกศิษย์ของ ท่านโกรธมาก จึงได้ไปเอาปืนลูกซองมาแล้วเที่ยวตามหาท่านพระครูวิทยานุโยคแต่ไม่พบ พบแต่พระตั้วและพระดวงจึงได้ใช้อาวุธปืนยิงพระทั่ง 2 องค์ จนทั้งสองมรณภาพทั่งคู่ ว่าพระตั๊วะและพระดวงได้ไปฟ้องท่านพระครูจนตัวเองถูกไล่ออกจากวัด เมื่อพระสังข์ได้ยิงพระตั้วและพระดวงมรณภาพแล้วจึงจะหลบนี้จะออกจากวัด ขณะที่วิ่งออกมาจากที่เกิดเหตุนั้นได้พบกับท่านพระครูวิทยานุโยคนั่งอยู่บนกุฏิจึงได้ใช้ปืนยิงไป แต่เป็นเรื่องอัศจรรย์พระสังยิงเท่าไหร่กระสุนก็ ไม่ออกอยู่นั่นเอง ด้วยความโมโหพระสังข์จึงหันกระบอกปืนไปยังพระศุก ซึ่งอยู่ในบริเวณนั้นด้วยปรากฏว่าลูกกระสุนออกถูกแขนพระศุกได้รับบาดเจ็บพระสังข์จึงหลบหนีไปต่อมาถูกจับได้และถูกประหารชีวิตในที่สุดร้อยตำรวจเอกบรรจงประยงค์ศร สารวัตรเขตภาษีเจริญสมัยนั้น ทราบข่าวว่าทางวัด มีเหรียญพระครูวิทยานุโยค ถึงได้ไปขอเรียนมาจากวัดแล้วให้ลูกน้องนำไปทดลองยิงดูปรากฏว่ากระสุนไม่ออกตามคำเล่าลือต่มาเมื่อมีคนทราบข่าวก็ไปหาเหรียญที่วัดกันจำนวนมากแต่ที่วัดเหรียญหมดไปนานแล้วผู้ที่มีอยู่แล้วก็ไม่อยากให้หลุดมือไปเพราะเป็นของหายากและราคาเช่าหาสูงอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะท่านไม่เป็นเป็นเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงตามที่กล่าวมาแลว

อ้างอิง จากหนังสืออภินิหารพระเครื่อง ปี 2517

พระครูสุชาติเมธาจารย์ (หลวงพ่อกุน) วัดพระพุทธไสยาสน์ (วัดพระนอน)

พระครูสุชาติเมธาจารย์ (หลวงพ่อกุน) วัดพระพุทธไสยาสน์ (วัดพระนอน)

ท่านเป็นพระภิกษุที่มีชื่อเสียงองค์หนึ่งในจังหวัดเพชรบุรี ท่านมีของดีที่ประชาชนให้ความสนใจคือตะกรุดโทน ที่มีอภินิหารระเบิดไปไกล ใช่แต่ท่านจะเป็นผู้มีวิชาอาคมอย่างเดียวเท่านั้นแต่ท่านยังมีคุณธรรมอื่นอีกหลายอย่างท่านได้รับการยกย่องว่าเป็นพระดีเมืองเพชร พระครูสุชาติเมธาจารย์ หรือหลวงพ่อกุน

เกิดเมื่อวันพุธ เดือน 6 ปีวอก พ.ศ.2435 บ้านหนองกาทอง ตำบลโรงเข้ จังหวัดเพชรบุรี บิดาของท่านชื่ออะไรไม่มีใครทราบส่วนมารดามีชื่อว่าม่วง  มีพี่น้องร่วมมารดาบิดาเดียวกัน 5 คนเป็นผู้ชายทั้งหมดเมื่อเยาว์วัยมีนิสัยโน้มเอียงไปทางสมณะกล่าวคือชอบนั่งบนจอมปลวกแล้วเทศน์ให้เพื่อนฟังในเวลาต่อมาท่านก็ได้มาอยู่ วัดวังบัวซึ่งอยู่ห่างจากบ้านประมาณ 3 กิโลเมตรและได้บรรพชาเป็นสามเณร จนอายุครบ 20 ปี ก็ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุอยู่ที่วัดนี้ในขณะที่ บวชเป็นพระใหม่ซึ่งมีความอุตสาหะเป็นอย่างมากได้เดินทางไปศึกษาวิชากับอาจารย์แจ้ง บ้านอยู่ทาง วัดดอนไก่เตี้ย และได้ศึกษาวิชาการที่วัดข่อย ศึกษาทางช่างศิลป์ กับพระอาจารย์มุ่ย วัดใหญ่สุวรรณารามและคุณพ่อฤทธิ์ หนังใหญ่ วัดพลับพลาชัย ท่านบวชอยู่ 3 พรรษาก็ได้ย้ายมาอยู่วัดพระพุทธไสยาสน์สมัยพระครูสุวรรณมุนี(เกศ) ต่อมาได้เป็นสมุห์ และเมื่อพระครูสุวรรณมุนีมรณภาพแล้วท่านก็ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดพระพุทธไสยาสน์ มาได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรที่ พระครูสุชาติเมธาจารย์ ท่านเป็นผู้ที่มีความกตัญญูกตเวทีกล่าวคือท่านรับโยมมารดามาดูแลใกล้วัดโดยปลูกบ้านที่อยู่ทางทิศใต้ของวัดจะได้ดูแลอย่างใกล้ชิดจนถึงแก่กรรมและท่านได้จัดงานฌาปนกิจให้อย่างสมเกียรติ คุณธรรมของท่านอีกอย่างหนึ่งคือมีความเมตตากรุณาเผื่อแผ่ไปในหมู่ศิษย์ด้วยการอุปการะให้การศึกษาเล่าเรียนปรากฏว่าศิษย์บางองค์ของท่านสามารถได้เป็นเปรียญและเป็นเจ้าคุณ ทุกพรรษาท่านจะขึ้นไปนั่งบำเพ็ญกรรมฐานในถ้ำในวิหารเล็กประมาณ 7 วันท่านเล่าให้ศิษย์หวังว่าครั้งหนึ่งก่อนจะนั่งเข้าที่ท่านปลัดเทศหรือพระครูสมณกิจพิศาล เอาน้ำชาไปถวายท่านรับถวายแล้วเริ่มเข้าที่ปรากฏเห็นเช่นนั้นอีกเช่นว่าเหมือนของจริงทุกอย่างแต่นึกขึ้นได้ว่าเพิ่งมาถวายเมื่อกี้นี้จึงไม่รับท่านว่าเกือบเสียท่า นอกจากนี้ท่านยังได้นำพระภิกษุในวัด ออกธุดงค์ ปีละหลายๆรูป และออกอยู่หลายปี พระภิกษุที่ออกธุดงค์กับท่าน เต็มไปด้วยความสมัครใจ ไม่ว่าท่านจะไปทางเหนือหรือทางใต้เป็นต้องมีพระภิกษุสมัครไปด้วยเสมอ เนื่องจากท่านได้เคยนำพระในวัดไปธุดงค์ที่ พระพัทธบาทสระบุรีเห็นพระพุทธฉายที่นั่นท่านชอบใจมาก ถึงกะบจะไปดูพระฉายอีกครั้งหนึ่ง และได้นำแบบมาทำวิหารพระพุทธฉายที่วิหารวัดพระนอนอีกหลังหนึ่งยังปรากฏเป็นถาวรวัตถุอยู่ทุกวันนี้หลวงพ่อกุณมีของดีซึ่งเป็นที่เชื่อถือของประชาชน นั่นก็คือ ตะกรุดโทนทั้งนี้ท่านได้ เขียนเป็นรูปนางมณโฑหนุมานฆ่าทศกัณฐ์และเลขยันต์ต่างๆในแผ่นตะกรุดว่ากันว่าตำรับทำตะกรุดนี้จารึกไว้ในสมุดจีนใบปกเขียวๆ รูปที่เขียนเป็นเรื่องรามเกียรติ์ตอนหนุมานถวายแหวนสะกดเข้าไปกับผมทศกัณฐ์ผูกติดกับนางมณโฑ ตะกรุดนี้มีพระภิกษุสามเณรที่ท่านฝึกไว้เป็นผู้เขียนรูปส่วนต่างๆลงไปแล้วท่านจึงนำไปลงยันต์ปลุกเสกวันเสาร์ 5 โดยให้ศิษย์แบกถาด ลงไปปลุกเสกในป่าช้า7 ป่าช้ามี ป่าช้าวัดพลับ วัดแก่นเหล็กและวัดพระนอนเป็นต้นว่าให้ดีจริงๆพอถึงวันเพ็ญเดือน 12 ให้ลบออกด้วยสะบ้ามอญ คือถูลบรอยเหล็กจารที่จารึกไว่นั้นออกแล้ว ให้จารลงใหม่อีกและเมื่อถึงวันเพ็ญเดือนสิบสองต่อมาก็ทำเช่นนั้นอีกรอบครบ 3 ครั้งดีนักแล เล่ากันว่า ตะกรุดนี้นอกจากจะมีดีทางเป็นเครื่องรางของขลังทำให้อยู่ยงคงกระพันแล้วคือเอาแขวนหัวรอดแล้วขึ้นไปบ้านหุงข้าวกินที่บ้านใครก็ได้เจ้าของบ้านจะไม่ตื่นและเข้าหาผู้หญิงก็ได้ผู้หญิงจะไม่ร้องถ้ามีตะกรุดอยู่กับตัวแตะผู้หญิงก็จะไม่ร้องเลย ปรากฏว่ามีผู้นำไปทดสอบเห็นผล จริงมาแล้วตะกรุดโทนของหลวงพ่อกุน จึงเป็นที่ปรารถนาของบุคคลทั่วไป

นอกจากตะกรุดโทนแล้วยังมีตะกรุดดอกเดียวอีกอย่างหนึ่งชื่อ “มงกุฎพระเจ้า” ทราบว่าอยู่ยงคงกระพันดีนะและยังมีตะกรุด 3 ดอกเรียกว่าสามกษัตริย์ทำด้วย เงิน-ทองและนาค นอกจากนี้ก็ยังมีลูกอมซึ่งต้องการเอาชันโรงใต้ดินมาปิดกล่าวฝ่าถ้าใช้ขึ่นดีทางมหาอุตม์ ของขลังทั้งหมดนี้ท่านสั่งทุกคนที่ได้ไปว่าขออย่างเดียวอย่าไปขโมยของเขาถ้าไปขโมยของเขาก็ใช้ไม่ขึ้นของดีของหลวงพ่อกุนเลื่องลือกันมา สมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ปลัดเมืองเพชรบุรีก็เคยมาขอ ท่านห้ามว่าอย่านำไปทดลองแต่ก็เอาไปทดลองจนได้แล้วกลับมาบอกว่าของหลวงพ่อดีจริงๆ

ของขลังของหลวงพ่อกุนนั้นศิษย์ทีาได้รับมรดกก็มีพระครูสมณกิจพิศาล (เทพ) วัดพระนอน กับคุณพ่อโต๊ะ วัดท่อเจริญธรรม เท่านั้นขณะนี่คุณพ่อโต๊ะก็ยังทำอยู่บ้างและมีชื่อเสียงไม่น้อยเหมือนกันพระครูสุชาติเมธาจารย์หรือหลวงพ่อกันมีชีวิตอยู่จนถึงปี พ.ศ. 2463 ท่านก็ป่วยด้วยโรคที่ไม่ว่าจะเป็นเหตุให้ถึงแก่มรณภาพ เล่ากันว่าก่อนเข้าพรรษาปี 1 นายสอน อ่วมจันทร์ บ้านดอนแจง เมื่อบวชเป็นพระภิกษุอยู่ที่วัดพระนอนไปได้ผมผีพรายมาแต่ไหนไม่ทราบเอามาให้หลวงพ่อกุน ทำพิธีใส่ในด้ามมีดให้ ท่านทำให้แล้วเอาผมที่เหลือวางบนหลังตู้ ต่อมาท่านเดินบนกุฏิตกร่องขาเป็นแผล ว่าผีพายมากินแผลรักษาเท่าไหร่ก็ไม่หายก่อนเข้าพรรษาไม่กี่วันมีบวชนาคที่วัดท่านเดินไม่ไหวเลยบอกว่าแย่เสียแล้วพระภิกษุทั้งหลายก็ห้ามท่านว่าอย่านั่งอุปัชฌาย์เลยท่านไม่ยอม โดยท่านกล่าวว่าตายในโบสถ์ไม่เป็นไร ถึงกับต้องหามท่านไปนั่งอุปัชฌาย์เป็นครั้งสุด ท้ายและในคืนนั้นท่านก็ถึงแก่มรณภาพรวมอายุ     ได้ 60 ปีพรรษา 40 นับว่าท่านได้บำเพ็ญประโยชน์และบำเพ็ญ กรณียกิจจนวันสุดท้ายแห่งชีวิต

สมัยนั้นท่านเป็นพระผู้ใหญ่ที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในจังหวัดเพชรบุรี

ประวัติหลวงพ่อกุน เรียบเรียงขึ้น จากเค้าเรื่องเดิมของคุณชำนาญ นิลสุข ในหนังสือพระดีเมืองเพชร

อ้างอิง จากหนังสืออภินิหารพระเครื่อง ปี 2517

พระครูบริหารนันทคุณ (บุญ นนฺทิโย)

ประวัติหลวงพ่อบุญ นนฺทิโย
พระครูบริหารนันทคุณ (บุญ นนฺทิโย).  เดิมชื่อ
บุญ นามสกุล เยาวลักษณ์
เกิดเมื่อ วันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2470
ที่บ้านจะแกโกน ต.ท่าสว่าง อ.เมือง จ.สุรินทร์
บิดาชื่อ เลียว เดิมอยู่บ้านเ้ขวา ต.ท่าสว่าง
อ.เมือง จ.สุรินทร์     มารดาชื่อ บิง. เดิมอยู่
บ้านจะแกโกน. ซึ่งอยู่ใกล้ๆ. กับบ้านเขวา
ครอบครัวของหลวงพ่อ. มีพี่น้องร่วมกันทั้งหมด
8 คน เป็น ชาย 3 คน เป็นหญิง 5 คน
ส่วนหลวงพ่อบุญ เองเป็นบุตร คนที่ 1
* ประวัติเล่าว่า เมือหลวงพ่อเกิดได้ 1 ปีเศษ
ราวต้นปี พ.ศ. 2472 บิดามารดา เห็นว่า
บ้านจะแกโกน มีราษฏรอาศัยมากและใกล้ตัว
เมืองสุรินทร์  มีพื้นที่ทำมหากินน้อย จึงย้าย
มาอยู่ในพื้นที่มีป่ากว้างทำเลเหมาะทีจะจับจอง
ที่ดินทำกิน จึงเลือกอาศัยอยูในหมู่บ้าน
**หนองขอน** ซึ้งมีจำนวนครัวเรือนไม่กี่หลัง
สร้างบ้านพักอยู่รอบๆ หนอง ต่อมาจึงตั้งชื่อ
หมู่บ้านว่า หนองขอน **เดิมชื่อบบ้านกะโลง**
สมัยนั้นขึ้นตำบลห้วยราช  อ.เมือง จ.บุรีรัมย์
ต่อมาทางราชการแบ่งเขตการปกครองใหม่
เป็นอำเภอกระสังปัจจุบันเป็น
ชาวบ้านหนองขอน หมู่ที่ 7 ตำบลกันทรารมย์
์อำเภอกระสัง ีีบุรีรัมย์
*** ประวัติทางการศึกษา***
พ.ศ.2482 ทางราชการได้ตั้งโรงเรียนใหม่
ชื่อว่าโรงเรียนบ้านหนองขอน หลวงพ่อได้เข้าเรียนชั้นประถมปีที่ 1 และ
ได้จบชั้นประถมปีที่ 4 พ. ศ. 2486
พ. ศ. 2491 บรรพชา-อุปสมบท
ณ พัทธสีมา วัดคันทรารมย์ สมัยนั้นขึ้น
ตำบลกระสัง อำเภอเมัือง จังหวัดบุรีรัมย์
พ. ศ. 2496 สอบได้นักธรรมชั้นตรีต
พ. ศ. 2527 สอบได้นักธรรมชั้นโท
อ่านเขียน อักขระขอมได้เป็นอย่างดี
ศึกษาวิชาแพทย์แผนโบราณและก็รักษา
ตามแบบแผนโบราณมีผู้นับถือและรักษามาก
*** การแต่งตั้งและการปกครอง***
พ. ศ. 2493ได้รับการแต่งตั้ง
เป็นรองเจ้าอาวาสวัดบ้านหนองขอน
พ. ศ. 2496 ได้รับการแต่งตั้ง
รักษาการเจ้าอาวาส วัดบ้านหนองขอน สมัยนั้นพระอธิการผาย โอภาโส ซึ่งเป็นเจ้าอาวาส ได้ลาสิกขาบท
พ. ศ. 2497ได้รับแต่งตั้งเป็นพระกรรม-
วาจาจารย์     และ. พ. ศ. 2498 ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดบ้านหนองขอน
พ. ศ. 2498 ได้รับการแต่งตั้งเป็นครูปริยัติธรรม
สำนักวัดบ้านหนองขอน
พ. ศ. 2500 ได้รับการแต่งตั้ง
เป็นผู้ช่วยเจ้าคณะตำบลไผ่ ปัจจุบันแยก
ออกมา เป็นตำบลกันทรารมย์ ซึ่งเป็นตำบลใหม่ พ. ศ. 2510 ได้รับการแต่งตั้ง
เป็นรองเจ้าคณะตำบลเมืองไผ่
พ. ศ. 2518 เป็นประธานหน่วยอบรมประชาชน ประจำตำบล. (  อป.ต )
พ. ศ. 2518 ได้รับการแต่งตั้งเป็น
กรรมการที่ปรึกษาโรงเรียนบ้านหนองขอน
พ. ศ. 2520 ได้จัดตั้งหน่วยส่งเสริม พุทธมาม
กะผู้เยาว์
พ. ศ. ี 2527 ได้รับการแต่งตั้ง เป็นรองประธาน บริหารราชการคณะสงฆ์ อ. กระสัง จ.บุรีรัมย์
พ. ศ. 2528 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์
เป็นพระครูสัญญาบัตร ชั้นตรี เรียกว่า
พระครูบริหารนันทคุณ. เมื่อ
วันที่ 5 ธันวาคม พ. ศ. 2528 
และต่อมา ท่านเป็นผู้ริเริ่มก่อตั้ง
จัดสร้างโรงเรียนบ้านหนองเหล็ก. ตามด้วย
ริเริ่มก่อตั้งโรงเรียนบ้านหนองขอน และต่อมา
ท่านได้จัดสร้างบูรณะวัดก่อตั้งที่เพิ่มมาเรื่อยๆ
พ. ศ. 2536 เพิ่งทำหน้าที่รักษาการ
เจ้าคณะตำบลกันทรารมย์ อำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์  เจ้าคณะตำบลและองค์ก่อนคือ
พระครูวิสุทธคันทรารมย์ ได้มรณภาพลง
และต่อมา หลวงพ่อบุญ นันทิโย
หรือพระครูบริหารนันทคุณ ได้ทำหน้าที่
รักษาการเจ้าคณะตำบลกันทรารมย์
ได้เพียงแค่ 6 วันก็มรณภาพลง
เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน พ. ศ. 2536
ได้อายุ 66 ปี 2 เดือน และอีก 24 วัน
บรรพชาอุปสมบทได้เพียง 45 พรรษา

วันเสาร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2559

เหรียญสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ปี2525




เหรียญปั๊มรูปเหมือนสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ซึ่งทรงเป็นพระราชอุปัธยาจารย์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวครั้งทรงผนวช อีกทั้งในการสร้างเหรียญปั๊มครั้งนี้ พระ บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พร้อมด้วยสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี องค์ประธานกรรมการสร้างอาคารวชิรญาณวงศ์ เสด็จพระราชดำเนินประกอบพิธีพุทธาภิเษกพระพุทธรูปพร้อมด้วยเหรียญทั้งหมด ทรงพระสุหร่าย ทรงเจิม ณ พระอุโบสถ วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อวันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2525 เวลา 17.00 น.
เหรียญปั๊มรูปเหมือนสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ที่สร้างขึ้นสืบเนื่องจากวัดบวรนิเวศวิหารและสภากาชาดไทย ได้ดำริที่จะสร้างอาคาร 4 ชั้น ขึ้นในโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เพื่อประโยชน์ในการพักรักษาของภิกษุ-สามเณรที่อาพาธ
ในการนี้ คณะผู้ดำริได้ตกลงขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตใช้นามอาคารที่จะสร้างว่า "วชิรญาณวงศ์" เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งองค์สมเด็จพระสังฆราชเจ้าฯ พระองค์นั้น และวางศิลาฤกษ์อาคารใหม่นี้เมื่อเมษายน 2525 ซึ่งเป็นช่วงของการฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี
โดยเหรียญปั๊มนี้ด้านหนึ่งมีพระรูปสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ และอีกด้านหนึ่งได้ขอพระราช ทานพระบรมราชานุญาตอัญเชิญพระปรมาภิไธยย่อ ภปร. ประดิษฐานไว้ พร้อมกับขอพระราชทานให้การสร้างอาคารดังกล่าวอยู่ในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งก็ได้รับพระราชทานพระมหากรุณาทุกประการ จึงได้จารึกอักษรไว้ในเหรียญว่า "รัตนโกสินทร์ 200 ปี พ.ศ.2525 สร้างตึกวชิรญาณวงศ์ ร.พ.จุฬาลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์" ได้ทำพิธีพุทธาภิเษก ณ พระอุโบสถ วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อวันจันทร์ที่ 26 เมษา ยน พ.ศ.2525 เวลา 18.39-21.19 น. โดยมีพระเกจิอาจารย์นั่งปรกปลุกเสก คือ
1.พระราชวุฒาจารย์ วัดบูรพาราม จ.สุรินทร์
2.พระชินวงศาจารย์ วัดป่าสาลวัน จ.นครราชสีมา
3.พระอุดมสังวรเถร(อุตตมะ) วัดวังก์วิเวการาม จ.กาญจนบุรี
4.พระโพธิสังวรเถร(ฑูรย์) วัดโพธิ์นิมิตร กทม.
5.พระปัญญาพิศาลเถร วัดราชประดิษฐ์ กทม.
6.พระครูสุตาธิการี(ทองอยู่) วัดหนองพะอง จ.สมุทรสาคร
7.พระครูโสภณกัลยาณวัตร(เส่ง) วัดกัลยาณมิตร กทม.
8.พระครูมงคลญาณสุนทร(ผ่อง) วัดจักรวรรดิฯ กทม.
9.พระอาจารย์สมชาย วัดเขาสุกิม จ.จันทบุรี
10.พระครูปลัดสัมพิพัฒนญาณาจารย์(ไพบูลย์) วัดรัตนวนาราม จ.พะเยา
11.ครูบาชัยวงศาพัฒนา วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม จ.ลำพูน
12.พระครูสันติวรญาณ(ฉิม) วัดถ้ำผาป่อง จ.เชียงใหม่
13.พระสุพรรณ ปิยธโร วัดเวฬุวนารามฉะเลียงลับ จ.เพชรบูรณ์
14.ครูบาธรรมชัย วัดทุ่งหลวง จ.เชียงใหม่
15.พระอาจารย์สุวัฒน์ วัดถ้ำศรีแก้ว จ.สกลนคร

เหรียญรุ่นแรกหลวงพ่อแวง วัดบ้านกระโพ ปี2516



เหรียญรุ่นแรก ปี2516
พระครูสุวรรณปัญญาจารย์ (หลวงพ่อแวง สุวณณปัญโญ ) วัดบ้านกระโพ ต.บ้านกระโพ อ.ท่าตูม จ.สุรินทร์
สร้างในวาระฉลองพัดยศ สร้างขึ้นในเดือนกุมภาพันธุ์ ปี2516 สร้างประมาณ 2,000 เหรียญ ลักษณะเหรียญเป็นเหรียญหยดน้ำแบบพัดยศ ด้านหน้าเป็นรูปหลวงพ่อแวง หน้าตรงครึ่งองค์ ด้านล่างระบุว่า หลวงพ่อแวง สุวณณปัญโญ
ด้านหลังเป็นยันต์พระเจ้า ๕ พระองค์ ใต้ยันต์ระบุว่า วัดบ้านกระโพ ต.บ้านกระโพ อ.ท่าตูม จ.สุรินทร์
สร้างพร้อมเหรียญรุ่นแรกพระครูวิบูลธรรมวาที (หลวงพ่ออ้วน) วัดสุวรรณอินทร์ทอง (บ้านหนองตาด)
ทำพิธีพุทธาภิเษกโดยพระเถราจารย์ ดังนี้
1.หลวงพ่อทุม ปริสุทโธ วัดใหญ่จอมพระ อ.จอมพระ
2.พระครูบุญสิริโสภณ (หลวงพ่อบุญศรี ปารคามี) วัดธาตุ อ.สนม
3.พระครูถาวรธรรมรัตน์ (หลวงพ่อเที่ยง ) วัดเลี่ยบ (บ้านไผ่ ) อ.รัตนบุรี
4.พระครูประสาธน์ขันธคุณ (หลวงพ่อมุม อินทปัญโญ) วัดปราสาทเยอร์ อ.ขุขันธุ์
5.หลวงปู่สาม อกิญจโน วัดป่าไตรวิเวก อ.เมือง
6.พระครูอุดมวรเวท (หลวงปู่เจียม อติสโย) วัดอินทราสุการาม (หนองยาว) อ.สังขะ
7.พระครูวิบูลย์ธรรมวาที (หลวงพ่ออ้วน ) วัดสุวรรณอินทอง (บ้านหนองตาด ) อ.ท่าตูม
8.พระครูสุวรรณปัญญาจารย์ (หลวงพ่อแวง สุวณณปัญโญ) วัดบ้านกระโพ อ.ท่าตูม เจ้าพิธี
วัตถุมงคลของท่าน เป็นที่ศรัทธาของประชาชนชาวส่วนมาก เพราะท่านเองก็เป็นครูบาอาจารย์ของชาวส่วย
เด่นด้าน มหาอุตม์ แคล้วคลาด ปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง เมตตามหานิยม ค้าขายดีนักแล
ปัจจุบันหายากพอสมควร ราคาเล่นหาก็อยู่ที่หลัก ร้อยปลาย ถึงพัน ต้นๆครับ
***อ้างอิงจากหนังสือประวัติ พระครูวิบูลย์ธรรมวาที (หลวงพ่ออ้วน) วัดสุวรรณอินทอง(บ้านหนองตาด) อ.ท่าตูม