วันอังคารที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2560

พระครูสิริโพธิรัตน์ (หลวงพ่อสา ยโสธโร) วัดโพธิ์ศรี



พระครูสิริโพธิรัตน์ (หลวงพ่อสา ยโสธโร)

วัดโพธิ์ศรี บ้านบอน ต.กะโพ อ.ท่าตูม จ.สุรินทร์ 
ศิษย์เอกหลวงพ่อจริณทร์ วัดปราสาทเทพนิมิตร
หลวงพ่อสา ยโสธโร
พระผู้ทรงคุณ วิเศษผู้ก้าวล่วงถึงซึ่งอุปเสนวังคันตปุตตเถรคาถา 

พระภิกษุผู็มีความปรารถนาน้อย สันโดษชอบสงัด เป็นมุนี ไม่คลุกคลีด้วยพวกคฤหัสถ์และพวกบรรพชิตทั้งสอง 
ข้อความดังกล่าวไม่ต้องบอกพุทธศาสนิกชนทั่วไปก็ต้องทราบว่านี่คือบุคลิกลักษณะของหลวงพ่อสา ยโสธโร พระอธิการแห่งวัดโพธิ์ศรี หมู่บ้านบอน ตำบลกระโพ อำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์ 
และจากจุดๆ นี้คือต้นตอที่เชื่อมโยงไปสู่สมญานามว่า "ผู้ก้าวล่วงถึงอุปเสนวังคันตปุตตเถรคาถา" 
เพราะหัวใจของพระคุณท่านหลวงพ่อสา ยโสธโร คือ
ผู้มีกายสงบมีวาจาสงบ มัใจตั้งมั่นดีแล้วมีอามิสในโลกอันตายแล้ว เรากล่ารวว่าเป็นผู้สงบระงับ 
ก็เพราะอย่างนี้ผู้เขียนจึงต้องแสดงวัตรปฏิปทาชองพระคุณท่านให้ปรากฏในบรรพโลกตามคำเรื่องร้องของหัวใจของผู้เขียนเองและของพุทธศาสนิกชนทั่วไป
ชาติภูมิ : พระคุณท่านถือกำเนิดในครอบครัวชนชาวส่วย ณ หมู่บ้านบอน ต.กระโพ อ.ท่าตูม จ.สุรินทร์ เมื่อวันจันทร์ เดือน ๕ แรม ๖ ค่ำ ปีพุทธศักราช ๒๔๘๖ (ปี2529) อายุ ๔๒ ปี 20 พรรษา
โยมบิดาคือนายมา สายทะเล โยมมารดาคือ นางกวน สายทะเล มีญาติพี่น้องร่วมกัน ๘ คน ดังนี้
1.) พระอธิการสา ยโสธโร (สายทะเล) 
2.) นางปิ่น มีนาม (สายทะเล) 
3.) นางขัน มีนาม (สายทะเล) 
4.) นางนวล สืบเทพ (สายทะเล) 
5.) นางสุข สืบเทพ (สายทะเล) 
6.) นางจ่าม แสนดี (สายทะเล) 
7.) นางแต่ม ปานทอง (สายทะเล) 
8.) นางสมใจ สายทะเล


จากคำบอกกล่าวของโยมมารดา ท่านเล่าว่า "ตอนเด็กหลวงพ่อนี้เลี้ยงยาก ดูซิ อายุ 2 ขวบกำลังหัดเดินก็เกิดเจ็บป่วยร่วม 2 เดือน ใครๆที่เห็นต่างว่าไม่รอดปน่ แต่แล้วก็เหมือนปาฏิหาริย์" ได้กินยารากไม้สมุนไพรจากคนผู้หนึ่ง ซึ่งมาปุ๊บพอกินยาเสดก็หายไปปั๊บ และไม่มีใครรู้จักว่าเป็นใครมาจากไหน อาการจึงได้ทุเลาแต่ก็เจ็บป่วยออดๆแอดๆ มาเรื่อยๆแต่ไม่ถึงกับรุนแรงเหมือนครั้งก่อน
ชีวิตวัยเยาว์ : หลังจากเรียนจบการศึกษาภาคบังคับแล้วก็ประครองชีวิตขี้โรคของตนเองช่วยโยมบิดามาดาทำไร่ไถนาไปตามเรื่อง 
ชาวบ้านเล่าให้ฟังว่าตอนหลวงพ่อยังไม่ได้บวช เรื่องการตดเบ็ดใครต่อใครก็ยกให้ที่หนึ่ง ไม่เคยพลาด มีแต่ได้กับได้ และปริมาณมากด้วย
ในช่วงหนึ่งของการสนธนาโยมมาดาของหลวงพ่่อได้บอกว่า 
"ตอนอายุได้ 19 ปี ขณะไปซื้อกางเกงที่ตลาดสุขาภิบาล อ.จอมพระก็มีอาการชักกระตุกขึ้น ใครต่อใครก็ว่าตายแล้วๆ แต่แล้วก็รอดมาตารมเคย
" ชีวิตของหลวงพ่อท่านตั้งแต่แรกเกิดจนถึงช่วงวัยรุ่น เป็นชีวิตที่เต็มไปด้วยโรคภัยไข้เจ็บ เข้าๆ ออกๆโรงพยาบาลตลอด ทั้งรักษาตัวกับหมอ ครูฆารวาส และบรรพชิตเป็นว่าเล่น แต่ความเป็นจริงก็เพื่อชีวิตของท่านเป็นสำคัญ และในท่ามกลางช่วงชีวิตดังกล่าวได้โน้มนำให้จิตวิญญษณของท่านปราถนาชีวิตในร่มกาสาวพัสด์ยิ่งนัก แต่ติดขัดตรงที่โยมมารดาของท่านเป็นห่วง



เหรียญรุ่น ฉลองโบสถ์ ปี2555


เรื่องสุขภาพกลัวจะไม่สามารถยังกิจในสมณเพศได้สำเร็จดี้ท่าที่ควร

ความคาดหวังพลันวิบัต :
พออายุได้ 22 ปี หลวงพ่อท่านได้ไปทำงานที่เลี้ยงโคนม ทีี่ อ.มวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี นามประมาณ 3 เดือนอาการเจ็ฐป่วยเจ้ากรรมก็ได้กำเริบกนัดจึงได้หวนคืนสู่มาตุภูมิ
พลันเคราะห์กรรมก็สาดซัดเข้าให้อีก กลายเป็นทั้งโรคซั้ำกรรมซัดวิบัตเป็น ในเมื่อหอบสังขารที่จะรอดมิรอดปแหล่มาถึงชานเรื่อนก็พบวง่าผู้เป็นบิดากำลังนอนป่วยหนักอย่างรุนแรงพอๆ กัน เคล็ดมีอยู่ว่า "บ้านหลังไหนมีคนเจ็บไข้ได้ป่วยถึง 2 คนในขณะเดียวกัน ใครคนใดคนหนึ่งต้องตาย เว้นเสียแต่ว่าต้องบวชคนหนึ่ง ทั้ง 2 คนถึงจะรอด" เป็นว่าว่าหลวงพ่อท่านได้บวชสมความปรารถนา โยมมารดาซึ่งเคยคัดค้านไว้ก็เลยยอมตาม
"อุปเสนเถรคาถากระหึ่มตั้งแต่แรกเห็น"
ผู้เขียนได้เรียนถามพระคุณท่านหลวงพ่อสา ยโสธโร ผู้สงบงามในวัตรปฏิปทาสงบ เยือกเย็น สุขุมคัมภีรภาพในศีล สมาธิ และปัญญาว่า "ทำไมจึงต้องแสดงตนให้เป็นดั่งคนบ้าคนใบ้"
พระคุณท่านกล่าวว่า "คนเรายิ่งจิตวิญญษณสงบมาดเท่าไหร่ ก็จะสะอาด สว่าง และ สงบไปมากเพียงนั้น การคลองตนก็จะปลอดพ้นจากกิเลสตัณหาและโรคภัยไข้เจ็บมากเป็นเงาตามตัว" ผู้เขียนจึงได้ขอความกรุณาให้ ชหลวงพ่อขายความต่อ "อย่างนี้คาถาที่หลวงพ่อยึดถือปฏิบัติเป็นสรณะคือ คาถาของอุปเสนวังคันตปุตตเถร" ซึ่งได้กล่าวไว้ว่า
"ภิกษุผู้เป็นบัณฑิต ควรแสดงตนให้เป็นดั่งคนบ้าและคนใบ้
ไม่ควรพูดมากท่ามกลางสงฆ์
ไม่ควรไปว่ากล่าวใครๆ
ควรละเว้นการเข้ากระทบกระทั่ง
เป็นผู้สำรวมในพระปาฏิโมกข์
พึงเป็นผู้รู้จักประมาณในโภชนะ
เป็นผู้ฉลาดในการเกิดขึ้นแห่งจิตมีนิมิตรอันถือเอาแล้วพึงประกอบสมถะและวิปัสนาตามเวลาอันสมควรอยู่เนืองๆ
พึงเป็นบันฑิตผู้ถึงพร้อมด้วยความเพียรเป็นนิจ
เป็นผู้ประกอบภาวนาทุกเมื่อ ด้วยความตั้งใจว่า ถ้ายังไม่ถึงที่สุดแห่งทุกข์ก็ไม่พึงถึงความวางใจ
อาสวะทั้งปวงของภิกษุผู้ปรารถนาความบริสุทธิ์เป็นอยุ่อย่างนี้ ย้อมสิ้นไป
และภิกษุอย่างนั้นย่อมบรรลุพระนิพพาน"
ผู้เขียนก็ถึงบางอ้อ อ๋อ อย่างนี้นี่เอง วัตรปฏิปทาในสมณะสารูปของหลวงพ่อสา ยโสธโรจึงงดงามยิ่งนัก
แม้แต่โยมมารดาของท่านก็ถึงกับร้องหใ้เมื่อทราบว่า ปฏิปทาของลูกชายตนผู้เป็นศากยปุตติโยงดงามถึงปานนี้ชนิดที่คาดไม่ถึง
หลังจากคอลเพศใต้ร่มกาสาวพัสตร์ได้ไม่นานเท่าไหร่โรคเก่าก็กำเริบหนัก
พระคุณท่านจึงออกดำเนินยังกิจเพื่อให้จิตวิญญาณแข็งกล้าขึ้นไปอีกจนกว่าจะหลุดพ้นเหนือสิ่งทั้งปวงด้วยการธุดงควัตร จุดที่ท่านพำนักอยู่คือ เขาพระวิหาร เทือกเขาพนมดงรัก ทั้งฝั่งไทยและฝั่งกัมพูชา เทือกเขาอำเภอโขงเจียม จ.อุบลฯ
เทือกเขาพนมดงรัก แถวช่องจอม อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์
ในที่สุดหลวงพ่อสา ก็ได้พบพระอาจารย์ชื่อดังผู้ได้อภิญญาวิเศษทั้งทางโลกิยอภิญญาและโลกุตรธรรมอภิญญา นั่นคือ พระครูสุเทพจันทสาร (หลวงพ่อจรินทร์ จันทสาโร) เมื่อผู้เป็นอาจารย์เห็นว่าศิษย์ของตนได้บรรลุถึงอภิญญาวเศษแล้วจนชวนกันมาตั้งสำนักสงฆ์ขึ้นที่วัดหนองเป็ด (วัดปราสาทเทพนิมิตร ) ในเขตพื้นที่ อ.สังขะ จ.สุรินทร์ (ปัจจุบัน อ.ลำดวน)




พระสมเด็จปกโพธิ์รุ่นแรก ปี2535

หลวงพ่อพระครูสุนทรโพธิวัตร {สุเรียม กันตสีโล วัดโพธิสัตว์



หลวงพ่อพระครูสุนทรโพธิวัตร {สุเรียม กันตสีโล วัดโพธิสัตว์ 

ประวัติ
หลวงพ่อพระครูสุนทรโพธิวัตร {สุเรียม กันตสีโล วัดโพธิสัตว์ บ้านกรวด ต.หนองขวาว อ.ศีขรภูมิ จ.สุรินทร์ ท่านบวชพระโดย(อุปัชฌาย์ บุญมี วัดตรมไพร)
เมื่อ พ.ศ.2516
1.) เป็นศิษย์หลวงพ่อปิ่น ทีปคุโน วัดปราสาท ศีขรภูมิ วิชาสะเดาะเคราะห์พรมน้ำมนต์ดูตำรายามสามตาเมตตามหานิย
2.) เป็นศิษย์หลวงปู่แฮม วัดจารพัต เรียนวิชาธนูมือวิชาคงกระพันชาตรี
3.) เรียนกับฆารวาสชื่ออาจารย์ทน นิยมไทยและ
4.) ลงไปเรียนที่ประเทศเขมร 2 พรรษา
ท่านมรณะภาพเมื่อปี่ พ.ศ. 2547 พรรษา 31 พรรษา อายุ 51 พรรษา วัตถุมงคลที่สร้างมีดังนี้
1.) เหรียญล็อกเกต หลังชินราชสร้างจำนวน600องค์ 


2.) เหรียญ พัดยศมี 3 เนื้อ



1.ล็อกเกต หลังพัดยศสร้างจำนวน 4,000 องค์

2.ทองแดงสร้างจำนวน 5,000 องค์
3.อัลป้าก้าแจกกรรมการสร้าง 1,000 องค์
4.ตะกรุดห้อยคอสร้าง 3,000 เส้น
ไม้แกะและงาช้างแกะ สร้างจำนวนน้อยหายาก
{วัตถุมงคลที่กล่าวมาทันท่านหมด}
และยังมีเหรียญที่ลูกศิษย์สร้างถวาย
สร้างโดยหลวงพ่อเจริญเจ้าอาวาสปัจจุบัน ดังนี้
1.) เหรียญสองหน้าสร้างฝังลูกนิมิต
2.) รูปหล่อที่มีประสบการณ์สร้างฝังลูกนิมิต

หลวงพ่อจวน สัญญโต วัดบ้านแสลงโทน


หลวงพ่อจวน สัญญโต วัดบ้านแสลงโทน






                                     หลวงพ่อจวน สัญญโต วัดบ้านแสลงโทน อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์
พระสุปฏิปันโนผู้ปฏิบัติดี มีวิชาเสกแป้งเสกสีผึ้งนารายณ์แปลง เป็นที่เรืองเลื่องลือ ท่านผู้อ่านครับด้านเรื่องราวการปฏิบัติของหลวงพ่อท่านที่ผมได้ขึ้นหัวเรื่องเลยว่าหลวงพ่อเป็นพระที่ปฏิบัติดีและผมยังคิดเลยไปอีกว่าในปัจจุบันนี้จะหาพระที่ท่านปฏิบัติดีอย่างหลวงพ่อนี้มีน้อยมากฉะนั้นในด้านปฏิปทาการปฏิบัติบางอย่างของหลวงพ่อท่านในใจท้ายเรื่องผมก็จะได้นำมาเล่าสู่ท่านท่านผู้อ่านให้ทราบต่อไปซึ่งก็ต้องย้ำอีกครั้งหนึ่งว่าด้วยปฏิปทาการปฏิบัติที่สมบูรณ์ด้วยพรหมวิหารธรรมของหลวงพ่อท่าน ท่านผู้อ่านเชื่อไหมครับว่าแม้ในปัจจุบันนี้แป้งนารายณ์แปลงที่หลวงพ่อท่านเสกหรือแม้แต่สีผึ้งมหาเสน่ห์ที่หลวงพ่อผสมสิ่งอาถรรพ์ต่างๆหลวงพ่อท่านก็ยังเมตตาบอกย้ำกับผมว่าไม่ให้เช่าบูชา แต่ใครศรัทธาอยากจะได้ท่านก็บอกว่าจะให้เพราะของไม่ได้ลงทุนลงรอนอะไร 


                                      ผู้อ่านที่สนใจทั้งหลายครับสำหรับเฉพาะเรื่องแป้งที่จะมีจดหมายไปขอท่านกรุณาส่งแป้งที่เป็นแป้งเม็ดซื้อตามตลาดนะครับส่งไปถวายท่านมากหรือน้อยก็ได้เท่าที่จะขอไปเพราะเรื่องแป้งผมได้คุยกับท่านและคณะกรรมการว่ามีหลายท่านนะครับไปของท่านแล้วเวลาพอแป้งหมดหลวงพ่อก็ต้องหาปัจจัยซื้อเองทุกครั้ง ท่านผู้อ่านเรื่องราวประวัติของหลวงพ่อท่านหลวง พ่อจวน สัญญโต ที่ผมกำลังเล่าเสนอต่อท่านท่านผู้อ่านอยู่นี้เรื่องราวที่ผมมีโอกาสนำเสนอ ท่านนี้ก็จัดว่าเป็นเรื่องราวที่ผมได้ทราบโดยเพราะบังเอิญก็ได้คือในปีนี้ผมได้มีโอกาสเป็นกรรมการจัดงานปีใหม่เพื่อหารายได้ช่วยการศึกษาเด็กยากจนที่ว่าการอำเภอแห่งหนึ่งซึ่งก่อนจะมีผมและคณะกรรมการอีกหลายท่านต่างก็ได้มีโอกาสได้เดินทางไปติดต่อการละเล่นต่างๆที่มีอยู่ในจังหวัดต่างๆในอันดับแรกผมได้มีโอกาสเดินทางมุ่งสู่จังหวัดนครราชสีมาเพราะที่จังหวัดนครราชสีมานี้ผมหรือแม้ใครๆต่างก็ทราบว่าเป็นจังหวัดที่มีคณะศิลปินต่างๆ  เช่นลิเกไทย-ลิเกลาวหมอลำเพลินและเพลงโคราชมีมาก และล้วนมีแต่คณะดังๆด้วยนะที่จังหวัดนี้เมื่อผมมีโอกาสเดินทางไปถึงก็ได้ทราบมาจากคณะกรรมการ ที่มาด้วยกันก่อนว่านะที่จังหวัดนี้มีแม่เพลงโคราชชื่อดังมากอยู่คณะหนึ่งคือแม่เพลงคณะแม่สมคิด ลิเกดังๆหลายคณะเช่นคณะ วรต้อสิมานคร และคณะสมจิตรโชว์เป็นต้นหลายคณะแม้คณะที่ไม่ได้กล่าวชื่อก็ล้วนเป็นศิษย์ที่ใช้แป้งแป้งนารายณ์แปลงของหลวงพ่อจวนโดยเฉพาะคณะวรต้อสิมานครเป็นต้น 


                                      คณะวรต้อสิมานครได้มีโอกาสไปแสดงประชันกับคณะลิเกใดๆที่ไม่ใช่ศิษย์หลวงพ่อจวน แม้เงินรางวัลนั้นจะมีผู้วางเดิมพันมากขนาดไหนแต่ที่สุดเมื่อทำการแสดงจบลงแล้วลิเกคณะวรต้อสิมานครก็จะล้มเงินรางวัลไปกินหมดเพราะด้วยความสามารถของผู้แสดงพร้อมผัดหน้าด้วยแป้งเสกของหลวงพ่อจวนท่านด้วยซึ่งในวันนั้นผมกับคณะผู้จัดงานอีกหลายท่านก็ต้องเดินทางไปหารักลิเกที่มีชื่อว่าวรต้อสิมานครนี้แหละก็เปล่านะครับคือไม่ใช่ให้พวกเขาจะเอาผู้แสดงลิเกคณะวรต้อสิมานครไปแสดงแข่งประชันกับลิเกคณะใดหรอกแต่เรื่องหนึ่งที่ผมมีความสนใจมากก็คือทุกคณะรวมทั้งแม่เพลงโคราชแม่สมคิด ที่ผมไปติดต่อไปแสดงนั้นทุกคนมีรูปหลวงพ่อท่านคือหลวงพ่อจวนมีไว้บูชาเหมือนกัน ตอนหลังก็ทราบว่าเขามีของดีและเป็นศิษย์หลวงพ่อกันทั้งนั้นครับ ท่านผู้อ่านและนี่คือเหตุผลที่ผมต้องรีบเดินทางไปกราบนมัสการหลวงพ่อท่านนะที่ว่าที่วัดบ้านแสลงโทนตำบลแสลงโทน อำเภอประโคนชัยจังหวัดบุรีรัมย์ เรื่องราวต่างๆที่เขาเล่าลือว่าท่านมีแป้งเสกนารายณ์แปลงเก่งนัก นำเรื่องราวนั้นมาเสนอให้ท่านผู้อ่านได้ทราบอย่างนี้ซึ่งยิ่งเมื่อผมมีโอกาสไปกราบนมัสการหลวงพ่อท่านอยู่ใกล้ๆและได้เห็นปฏิปทาในการปฏิบัติที่สำรวมอินทรีย์ด้วยท่าทีที่สงบเสงี่ยมของหลวงพ่อท่านด้วย ด้วยแล้วก็ทำให้ผมได้เกิดศรัทธามาก



                                              ยิ่งๆขึ้นยิ่งพอทราบว่าหลวงพ่อท่านเป็นพระที่มีอายุพรรษามากด้วยคือบรรพชามากตั้งแต่เป็นสามเณรผมก็ยิ่งมองเห็นในความบริสุทธิ์ทั้งกายและใจขอพระคุณท่านมากขึ้นยิ่งที่ทุกท่านที่มีบ้านอยู่ใกล้ๆวัดเมื่อผมได้มีโอกาสสนทนาด้วยผมก็ยิ่งทราบถึงปฏิปทาในการปฏิบัติที่มีแต่ความดีของหลวงพ่อมากเพิ่มขึ้นเพราะทุกคนโดยเฉพาะชาวบ้านแสลงโทนเขาต่างพูดต่างเสริมความดีของท่านด้วยการแสดงการพูดออกมาด้วยความศรัทธาในตัวหลวงพ่อ ท่านๆผู้อ่านครับ เรื่องนี้ก็จัดเป็นหลักเรื่องของประชาธิปไตยอย่างหนึ่งของคนไทยเราที่เลือกนับถือคนในศาสนานานๆ เพราะไม่ว่าพระหรือฆราวาสที่ปฏิบัติ จะให้ตนของตนเป็นที่พึ่งของชาวบ้านถ้าสมมุติพระหรือฆราวาสที่เป็นหมอแผนโบราณบ้างในละแวกบ้านอันนั้นถ้ายังเป็นผู้ที่ประพฤติไม่ดีอยู่หรือเป็นหมอกลางบ้านหมอโบราณก็ยังไม่มีความสามารถจริงอยู่ส่วนมากชาวบ้านที่อยู่ใกล้ๆบุคคลผู้นั้นความประพฤติชั่วดีพวกชาวบ้านเขาก็ทราบดีซึ่งท่านผู้อ่านจะเห็นว่าแม้เรื่องราวในเชิงสารคดีพูดถึงพระที่ปฏิบัติดีต่างๆของผมผมจะไม่ค่อยกล่าวเลยว่าพระคุณท่านนั้นท่านดีเด่น แต่ดังไกลทำนองนี้หมดสมัยแล้วครับของ ของดีคนเด่นตามทัศนะความเห็นของผมต้องดีต้องเด่นในถิ่นใกล้ๆเสียก่อนซึ่งเปรียบเหมือนเป็นการเป็นผู้นำและครอบครัวของตนเองคือ ดีในเรือนที่ตนอยู่เสียก่อนถ้าท่านผู้อ่านครับแม้ในปัจจุบันผมเองจะไม่ใช่คนยังหนุ่มเพราะ 40 กว่าแล้วแต่ใจของผมก็ยังคิดเข้าข้างตนว่าตนของตนเองยังไม่แก่และเมื่อได้มีโอกาสไปกราบนมัสการหลวงพ่อท่านนะที่วัดขอสีผึ้งพร้อมแป้งนารายณ์แปลงของหลวงพ่อ ท่านมาด้วยก่อนจะสืบ และเขียนประวัติต่างๆของหลวงพ่อท่านให้ผู้อ่านได้ทราบ และท่านๆผู้อ่านเชื่อไหมสิ่งที่ผมไม่เคยคาดคิดก็ได้เกิดขึ้น กล่าวคือในธุรกิจต่างๆที่ผมต้องทำการติดต่อประสานอยู่โดยเฉพาะธุรกิจดังนั้นต้องติดต่อกับสุภาพสตรีที่เป็นเพศที่ใจน้อยง่ายด้วยแต่เมื่อผมลองผัดหน้านิด ด้วยแป้งนารายณ์แปลงทาสีผึ้งหน่อยของหลวงพ่อท่านในการติดต่อการดำเนินงานต่างๆก็เกิดเป็นผลสำเร็จขึ้นโดยไม่เป็นไปได้อย่างน่าอัศจรรย์ซึ่งทั้งนี้ไม่ใช่ผมจะกล่าวเพื่อเทิดทูนหลวงพ่อท่านโดยเอาตัวผมที่ไม่ประสบมาจริงๆว่าประสบมานะครับ นี่เป็นเรื่องจริงทั้งนั้น 


ประวัติของหลวงพ่อ

                                       ท่านเกิดในปีชวด ตรงกับ วันอังคาร เดือน 3 ปีพุทธศักราช 2479 ณ ุที่หมู่บ้านแสลงโทนอำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ มีโยมบิดาชื่อกุล โยมมารดาชื่อเมา กงประโคนหลวงพ่อมีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 6 คน หลวงพ่อเป็นคนที่ 4 โดยท่านประกอบอาชีพเป็นชาวนาตามเยี่ยงอย่างโยมบิดาโยมมารดาทำมาตั้งแต่อายุยังน้อยจนอายุท่านย่างเข้า 18 ปี หลวงพ่อก็ได้เริ่ม สนใจในธรรมะขอบวชเป็นเณร จนเมื่ออายุได้ 20 ปี ท่านได้อุปสมบทในพระพุทธศาสนาด้วยความศรัทธาการอุปสมบทครั้งนี้หลวงพ่อก็มีท่านพระอธิการสงวน เป็นพระอุปัชฌาย์ท่านพระอธิการสุรินทร์ วัดเมืองดู่ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และท่านพระอธิการแสร์ วัดอรุโณทยารามเป็นพระอนุสาวนาจารย์ โดยได้นามตามที่ปรากฏว่าสัญญาโตภิกขุ เมื่ออุปสมบทแล้วหลวงพ่อก็อยู่จำพรรษาที่วัดบ้านเกิดคือวัดหมู่บ้านแสลงโทน หลวงพ่อก็อยู่จำพรรษาได้เพียงปีเดียวเพราะในปีนั้นเองหลวงพ่อท่านก็เกิดอาการอาพาธขึ้นคือท่านมีอาการเกิดโรคที่ แปลกซึ่งโรคที่แปลกดังกล่าวก็คือ หลวงพ่อมีอาการปวดเจ็บที่ภายในท้องโดยที่หมอต่างๆแม้ในโรงพยาบาลที่กรุงเทพคือโรงพยาบาลสงฆ์ก็ไม่สามารถจะหาสาเหตุพบเมื่อเกิดอาการเป็นมากๆและบ่อยขึ้นท่านผู้เป็นโยมบิดาของท่านจึงนำหลวงพ่อกลับไปยังจังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อจะเสาะหาว่ามีหมอที่จะรักษาทางด้านไสยศาสตร์ที่ไหนเก่งบ้าง เพราะญาติญาติของท่านก็คิดว่าท่านถูกคุณไสยแน่ในตอนนั้นก็ได้ทราบว่านะที่สำนัก วัดสุภาลัยมีเกจิอาจารย์ที่รักษาด้านไสยเวทเก่งยิ่ง คือ หลวงพ่อแก้ว โกวิโท หรือพระครูรัตนสุนทร ซึ่งวัดของท่านอยู่ในจังหวัดสุรินทร์ และเมื่อหลวงพ่อได้มีโอกาสได้ไปรักษาตัวอยู่กับหลวงพ่อแก้วซึ่งหลวงพ่อแก้วได้ทำวิธีรักษาอยู่ไม่กี่วันอาการที่ว่าปวดท้องมากปวดเป็นบางเวลาก็เกิดหายโดยไม่กลับมาเป็นอีกนับเป็นเรื่องที่อัศจรรย์ 



เหรียญรุ่นแรก หลวงพ่อจวน ปี 2531

                                       ด้วยประสบการณ์ของท่านอย่างนี้นับตั้งแต่วันนั้นหลวงพ่อท่านก็ฝากตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อแก้วเลยโดยอยู่ปฏิบัติรับใช้หลวงพ่อแก้วเพื่อศึกษาเล่าเรียนด้านวิชาเวทมนตร์คาถาอาคมต่างๆซึ่งท่านก็อยู่ที่วัดหลวงพ่อแก้วโดยอยู่เป็นศิษย์รับใช้ใกล้ชิดหลวงพ่อแก้วเป็นเวลาถึง 13 ปี หรือ13 พรรษาและเมื่อรู้ว่าท่านได้เรียนมนต์วิชาต่างๆจากหลวงพ่อแก้วหมดแล้วในพรรษาที่ 13 หลวงพ่อก็ได้ไปจำพรรษาอยู่ ณ ที่สำนักปฏิบัติธรรมของท่านพระครูนนทญาณวิสุทธิ์ (อาจารย์สุคม ณ วัดโคกบัวราย) จังหวัดสุรินทร์เพื่อปฏิบัติศึกษาด้านพระกรรมฐานต่อไปหลวงพ่ออยู่ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ณ ที่สำนักโคกบัวรายนี้เป็นระยะเวลา 7 ปี และต่อมาจากนั้นท่านก็นำเอาวิชาปฏิบัติทางจิตคือ(สมาธิกรรมฐาน)ที่ปรารถนาแต่ความสงบสันโดษโดยท่องเที่ยวธุดงค์เรื่อยไปจนในปี พ.ศ. 2520 เมื่อหลวงพ่อมีโอกาสธุดงค์มาเยี่ยมบ้านเกิดและก็พอดีที่วัดบ้านเกิดของท่านคือ(วัดบ้านแสลงโทน)กำลังจะกลายเป็นวัดที่ร้างเพราะขาดพระอยู่ช่วยพัฒนาหลวงพ่อจึงถูกนิมนต์จากชาวบ้านให้อยู่จำพรรษา



เหรียญรุ่น 3 ปี 2539