วันอังคารที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2560

พระครูสิริโพธิรัตน์ (หลวงพ่อสา ยโสธโร) วัดโพธิ์ศรี



พระครูสิริโพธิรัตน์ (หลวงพ่อสา ยโสธโร)

วัดโพธิ์ศรี บ้านบอน ต.กะโพ อ.ท่าตูม จ.สุรินทร์ 
ศิษย์เอกหลวงพ่อจริณทร์ วัดปราสาทเทพนิมิตร
หลวงพ่อสา ยโสธโร
พระผู้ทรงคุณ วิเศษผู้ก้าวล่วงถึงซึ่งอุปเสนวังคันตปุตตเถรคาถา 

พระภิกษุผู็มีความปรารถนาน้อย สันโดษชอบสงัด เป็นมุนี ไม่คลุกคลีด้วยพวกคฤหัสถ์และพวกบรรพชิตทั้งสอง 
ข้อความดังกล่าวไม่ต้องบอกพุทธศาสนิกชนทั่วไปก็ต้องทราบว่านี่คือบุคลิกลักษณะของหลวงพ่อสา ยโสธโร พระอธิการแห่งวัดโพธิ์ศรี หมู่บ้านบอน ตำบลกระโพ อำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์ 
และจากจุดๆ นี้คือต้นตอที่เชื่อมโยงไปสู่สมญานามว่า "ผู้ก้าวล่วงถึงอุปเสนวังคันตปุตตเถรคาถา" 
เพราะหัวใจของพระคุณท่านหลวงพ่อสา ยโสธโร คือ
ผู้มีกายสงบมีวาจาสงบ มัใจตั้งมั่นดีแล้วมีอามิสในโลกอันตายแล้ว เรากล่ารวว่าเป็นผู้สงบระงับ 
ก็เพราะอย่างนี้ผู้เขียนจึงต้องแสดงวัตรปฏิปทาชองพระคุณท่านให้ปรากฏในบรรพโลกตามคำเรื่องร้องของหัวใจของผู้เขียนเองและของพุทธศาสนิกชนทั่วไป
ชาติภูมิ : พระคุณท่านถือกำเนิดในครอบครัวชนชาวส่วย ณ หมู่บ้านบอน ต.กระโพ อ.ท่าตูม จ.สุรินทร์ เมื่อวันจันทร์ เดือน ๕ แรม ๖ ค่ำ ปีพุทธศักราช ๒๔๘๖ (ปี2529) อายุ ๔๒ ปี 20 พรรษา
โยมบิดาคือนายมา สายทะเล โยมมารดาคือ นางกวน สายทะเล มีญาติพี่น้องร่วมกัน ๘ คน ดังนี้
1.) พระอธิการสา ยโสธโร (สายทะเล) 
2.) นางปิ่น มีนาม (สายทะเล) 
3.) นางขัน มีนาม (สายทะเล) 
4.) นางนวล สืบเทพ (สายทะเล) 
5.) นางสุข สืบเทพ (สายทะเล) 
6.) นางจ่าม แสนดี (สายทะเล) 
7.) นางแต่ม ปานทอง (สายทะเล) 
8.) นางสมใจ สายทะเล


จากคำบอกกล่าวของโยมมารดา ท่านเล่าว่า "ตอนเด็กหลวงพ่อนี้เลี้ยงยาก ดูซิ อายุ 2 ขวบกำลังหัดเดินก็เกิดเจ็บป่วยร่วม 2 เดือน ใครๆที่เห็นต่างว่าไม่รอดปน่ แต่แล้วก็เหมือนปาฏิหาริย์" ได้กินยารากไม้สมุนไพรจากคนผู้หนึ่ง ซึ่งมาปุ๊บพอกินยาเสดก็หายไปปั๊บ และไม่มีใครรู้จักว่าเป็นใครมาจากไหน อาการจึงได้ทุเลาแต่ก็เจ็บป่วยออดๆแอดๆ มาเรื่อยๆแต่ไม่ถึงกับรุนแรงเหมือนครั้งก่อน
ชีวิตวัยเยาว์ : หลังจากเรียนจบการศึกษาภาคบังคับแล้วก็ประครองชีวิตขี้โรคของตนเองช่วยโยมบิดามาดาทำไร่ไถนาไปตามเรื่อง 
ชาวบ้านเล่าให้ฟังว่าตอนหลวงพ่อยังไม่ได้บวช เรื่องการตดเบ็ดใครต่อใครก็ยกให้ที่หนึ่ง ไม่เคยพลาด มีแต่ได้กับได้ และปริมาณมากด้วย
ในช่วงหนึ่งของการสนธนาโยมมาดาของหลวงพ่่อได้บอกว่า 
"ตอนอายุได้ 19 ปี ขณะไปซื้อกางเกงที่ตลาดสุขาภิบาล อ.จอมพระก็มีอาการชักกระตุกขึ้น ใครต่อใครก็ว่าตายแล้วๆ แต่แล้วก็รอดมาตารมเคย
" ชีวิตของหลวงพ่อท่านตั้งแต่แรกเกิดจนถึงช่วงวัยรุ่น เป็นชีวิตที่เต็มไปด้วยโรคภัยไข้เจ็บ เข้าๆ ออกๆโรงพยาบาลตลอด ทั้งรักษาตัวกับหมอ ครูฆารวาส และบรรพชิตเป็นว่าเล่น แต่ความเป็นจริงก็เพื่อชีวิตของท่านเป็นสำคัญ และในท่ามกลางช่วงชีวิตดังกล่าวได้โน้มนำให้จิตวิญญษณของท่านปราถนาชีวิตในร่มกาสาวพัสด์ยิ่งนัก แต่ติดขัดตรงที่โยมมารดาของท่านเป็นห่วง



เหรียญรุ่น ฉลองโบสถ์ ปี2555


เรื่องสุขภาพกลัวจะไม่สามารถยังกิจในสมณเพศได้สำเร็จดี้ท่าที่ควร

ความคาดหวังพลันวิบัต :
พออายุได้ 22 ปี หลวงพ่อท่านได้ไปทำงานที่เลี้ยงโคนม ทีี่ อ.มวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี นามประมาณ 3 เดือนอาการเจ็ฐป่วยเจ้ากรรมก็ได้กำเริบกนัดจึงได้หวนคืนสู่มาตุภูมิ
พลันเคราะห์กรรมก็สาดซัดเข้าให้อีก กลายเป็นทั้งโรคซั้ำกรรมซัดวิบัตเป็น ในเมื่อหอบสังขารที่จะรอดมิรอดปแหล่มาถึงชานเรื่อนก็พบวง่าผู้เป็นบิดากำลังนอนป่วยหนักอย่างรุนแรงพอๆ กัน เคล็ดมีอยู่ว่า "บ้านหลังไหนมีคนเจ็บไข้ได้ป่วยถึง 2 คนในขณะเดียวกัน ใครคนใดคนหนึ่งต้องตาย เว้นเสียแต่ว่าต้องบวชคนหนึ่ง ทั้ง 2 คนถึงจะรอด" เป็นว่าว่าหลวงพ่อท่านได้บวชสมความปรารถนา โยมมารดาซึ่งเคยคัดค้านไว้ก็เลยยอมตาม
"อุปเสนเถรคาถากระหึ่มตั้งแต่แรกเห็น"
ผู้เขียนได้เรียนถามพระคุณท่านหลวงพ่อสา ยโสธโร ผู้สงบงามในวัตรปฏิปทาสงบ เยือกเย็น สุขุมคัมภีรภาพในศีล สมาธิ และปัญญาว่า "ทำไมจึงต้องแสดงตนให้เป็นดั่งคนบ้าคนใบ้"
พระคุณท่านกล่าวว่า "คนเรายิ่งจิตวิญญษณสงบมาดเท่าไหร่ ก็จะสะอาด สว่าง และ สงบไปมากเพียงนั้น การคลองตนก็จะปลอดพ้นจากกิเลสตัณหาและโรคภัยไข้เจ็บมากเป็นเงาตามตัว" ผู้เขียนจึงได้ขอความกรุณาให้ ชหลวงพ่อขายความต่อ "อย่างนี้คาถาที่หลวงพ่อยึดถือปฏิบัติเป็นสรณะคือ คาถาของอุปเสนวังคันตปุตตเถร" ซึ่งได้กล่าวไว้ว่า
"ภิกษุผู้เป็นบัณฑิต ควรแสดงตนให้เป็นดั่งคนบ้าและคนใบ้
ไม่ควรพูดมากท่ามกลางสงฆ์
ไม่ควรไปว่ากล่าวใครๆ
ควรละเว้นการเข้ากระทบกระทั่ง
เป็นผู้สำรวมในพระปาฏิโมกข์
พึงเป็นผู้รู้จักประมาณในโภชนะ
เป็นผู้ฉลาดในการเกิดขึ้นแห่งจิตมีนิมิตรอันถือเอาแล้วพึงประกอบสมถะและวิปัสนาตามเวลาอันสมควรอยู่เนืองๆ
พึงเป็นบันฑิตผู้ถึงพร้อมด้วยความเพียรเป็นนิจ
เป็นผู้ประกอบภาวนาทุกเมื่อ ด้วยความตั้งใจว่า ถ้ายังไม่ถึงที่สุดแห่งทุกข์ก็ไม่พึงถึงความวางใจ
อาสวะทั้งปวงของภิกษุผู้ปรารถนาความบริสุทธิ์เป็นอยุ่อย่างนี้ ย้อมสิ้นไป
และภิกษุอย่างนั้นย่อมบรรลุพระนิพพาน"
ผู้เขียนก็ถึงบางอ้อ อ๋อ อย่างนี้นี่เอง วัตรปฏิปทาในสมณะสารูปของหลวงพ่อสา ยโสธโรจึงงดงามยิ่งนัก
แม้แต่โยมมารดาของท่านก็ถึงกับร้องหใ้เมื่อทราบว่า ปฏิปทาของลูกชายตนผู้เป็นศากยปุตติโยงดงามถึงปานนี้ชนิดที่คาดไม่ถึง
หลังจากคอลเพศใต้ร่มกาสาวพัสตร์ได้ไม่นานเท่าไหร่โรคเก่าก็กำเริบหนัก
พระคุณท่านจึงออกดำเนินยังกิจเพื่อให้จิตวิญญาณแข็งกล้าขึ้นไปอีกจนกว่าจะหลุดพ้นเหนือสิ่งทั้งปวงด้วยการธุดงควัตร จุดที่ท่านพำนักอยู่คือ เขาพระวิหาร เทือกเขาพนมดงรัก ทั้งฝั่งไทยและฝั่งกัมพูชา เทือกเขาอำเภอโขงเจียม จ.อุบลฯ
เทือกเขาพนมดงรัก แถวช่องจอม อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์
ในที่สุดหลวงพ่อสา ก็ได้พบพระอาจารย์ชื่อดังผู้ได้อภิญญาวิเศษทั้งทางโลกิยอภิญญาและโลกุตรธรรมอภิญญา นั่นคือ พระครูสุเทพจันทสาร (หลวงพ่อจรินทร์ จันทสาโร) เมื่อผู้เป็นอาจารย์เห็นว่าศิษย์ของตนได้บรรลุถึงอภิญญาวเศษแล้วจนชวนกันมาตั้งสำนักสงฆ์ขึ้นที่วัดหนองเป็ด (วัดปราสาทเทพนิมิตร ) ในเขตพื้นที่ อ.สังขะ จ.สุรินทร์ (ปัจจุบัน อ.ลำดวน)




พระสมเด็จปกโพธิ์รุ่นแรก ปี2535

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น